everY
ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 1 บทที่ 3 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 1
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)
แปลโดย : ธันวาตุลาคม
ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3 หญิงสาวในบ่อน้ำ
ลู่ชิงจิ่วกับอิ่นสวินโดยสารรถกระบะคันเล็กของลุงเฉินกลับหมู่บ้านสุ่ยฝู่พร้อมลูกหมูสี่ตัว
หลังจากมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่ลู่ชิงจิ่วทำคือจัดการจับลูกหมูใส่ในคอก เขาได้ทำความสะอาดคอกหมูไว้ก่อนแล้ว แถมบนพื้นยังมีฟางข้าวสะอาดวางแผ่กระจายไว้ ตามที่อิ่นสวินบอกกล่าว ความจริงแล้วหมูรักความสะอาดมาก ถ้าที่อยู่อาศัยสะดวกสบาย ก็ง่ายที่จะเติบโตมามีเนื้อสมบูรณ์
ลู่ชิงจิ่วอุ้มเจ้าหมูพวกนี้ขึ้นมา วางเข้าไปในคอกหมูพร้อมใส่ฟางข้าวสะอาดกับน้ำลงในรางอาหาร ทันทีที่ได้เข้าไปในคอก เจ้าลูกหมูสีขาวสองตัวก็รีบหมุนก้นกลมๆ หันไปกินอาหารอย่างมีความสุข แต่เจ้าหมูดำสองตัวกลับยืนลังเลไม่ยอมขยับอยู่ที่ประตูคอก
“เป็นอะไร” ลู่ชิงจิ่วเห็นพวกมันไม่ขยับ จึงเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย “คอกหมูไม่ถูกใจพวกแกเหรอ”
เมื่อได้ยินคำถามของลู่ชิงจิ่ว ลูกหมูดำตัวใหญ่ก็ผงกหัวโดยไม่คาดฝัน ยื่นกีบเท้าเล็กๆ ของตัวเองชี้ไปยังหมูสีขาวสองตัวที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย
ลู่ชิงจิ่ว “แกไม่อยากอยู่กับพวกนั้น?”
ลูกหมูดำส่งเสียงฮึดฮัด
ลู่ชิงจิ่วมองมันอย่างสงสัย “แกเป็นหมูจริงๆ รึเปล่า ไม่ใช่คนกลายร่างเป็นหมูหรอกนะ?”
ลูกหมูสีดำมองลู่ชิงจิ่วด้วยใบหน้าไร้เดียงสา ราวกับไม่เข้าใจว่าลู่ชิงจิ่วกำลังพูดอะไรอยู่ ชายหนุ่มสงสัยอย่างจริงจังว่ามันตั้งใจแกล้งทำไม่รู้เรื่อง แต่ลูกหมูสีดำนี่ก็ไม่น่าจะเป็นคนกลายร่างได้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง หากมีคนยอมสื่อสารด้วยก็คงรีบเปิดเผยตัวตนออกมาแล้ว ไม่มัวแสดงท่าทีไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบนี้หรอก
ลู่ชิงจิ่วครุ่นคิด เดินไปหยิบไม้กระดานมาจากทางด้านข้าง วางคั่นกลางระหว่างลูกหมูสีดำและลูกหมูสีขาว เช่นนี้แล้วลูกหมูสีดำสองตัวถึงค่อยก้าวเดินอย่างระมัดระวังเข้าไปในคอก หลังจากมองสำรวจเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยๆ เอนตัวลงนอนบนกองฟางสะอาด เริ่มต้นพักผ่อน
ลู่ชิงจิ่วเห็นแบบนั้นก็ไม่นึกอยากวุ่นวายกับมันอีก จึงหมุนตัวกลับเข้าบ้าน
อิ่นสวินวุ่นวายอยู่ในครัว นำของที่ลู่ชิงจิ่วซื้อมาจัดวางให้เรียบร้อย ลู่ชิงจิ่วเดินเข้ามาถามเขาว่าตอนเย็นอยากกินอะไร
“กินอะไรก็ได้” อิ่นสวินนั้นยังไงก็ได้อยู่แล้ว “ฉันจะไปเก็บผักในสวน พวกเรากินหม้อไฟกันมั้ยล่ะ”
“เอาสิ” ลู่ชิงจิ่วตอบ “เดี๋ยวฉันต้มน้ำซุปก่อน…จริงสิ หญ้าสำหรับหมูนี่หาได้จากไหนน่ะ หรือแค่ให้เป็นอาหารสัตว์ก็พอ”
“หญ้าของหมูน่ะนะ วานเด็กในหมู่บ้านช่วยเก็บมาให้ก็ได้” อิ่นสวินตอบ “ตะกร้าละห้าเหมา พวกเด็กๆ หาเงินพิเศษกัน แล้วนายก็ไม่ต้องขึ้นไปเก็บบนภูเขาด้วย ส่วนเรื่องให้อาหาร นายก็คอยมองดูละกัน ข้างในก็ใส่พวกวิตามินที่จำเป็นสำหรับหมู ถ้าหมูกินมากเกินไปเนื้อจะไม่ค่อยอร่อย แต่มันก็จะไม่ป่วยง่าย”
ลู่ชิงจิ่วได้ยินก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าตนรับรู้
“ฉันไปเก็บผักล่ะ นายต้มน้ำไปก่อน” อิ่นสวินกลับไปสวนบ้านตัวเอง
ลู่ชิงจิ่วนำกระดูกที่ซื้อมาจากตลาดวันนี้ใส่ลงในหม้อ จุดไฟเริ่มต้ม หั่นเนื้อบางส่วน บ้านเก่าหลังนี้มีตู้เย็น เพียงแต่ไม่ได้ใช้มานานแล้ว ช่องแช่แข็งเลยใช้งานได้ไม่ดีนัก ลู่ชิงจิ่วเอาส่วนผสมอาหารที่เหลือเข้าไปเก็บในตู้เย็น แล้วหยิบผักเดินออกไปที่ลานบ้าน เตรียมล้างทำความสะอาด ทว่าเขากลับได้ยินเสียงน้ำสาดกระเซ็นดังตูมใหญ่ ฟังคล้ายกับเสียงของหนักตกลงไปในน้ำ
เสียงนี้ดังมาจากลานข้างหลัง ลู่ชิงจิ่วหยุดนิ่งหลังได้ยิน ชายหนุ่มคิดไปต่างๆ นานา ก่อนรีบวางผักในมือแล้ววิ่งไปที่ลานหลังบ้านด้วยความรวดเร็ว
ลานหลังบ้านยังไม่ได้ถางทำความสะอาด จึงเต็มไปด้วยต้นไม้เหี่ยวแห้งและหญ้ารกทั่วทั้งสี่ทิศ ใยแมงมุมสีขาวพันเกาะบนกำแพง ปากปล่องบ่อน้ำสีดำข้างหน้าดูสูงตระหง่านโดดเด่นกว่าสิ่งอื่น
ลู่ชิงจิ่วได้ยินเสียงของตกลงไปในน้ำอย่างชัดเจน เขากลัวว่าจะเป็นเด็กในหมู่บ้านตกบ่อน้ำโดยไม่ทันระวัง จึงรีบพุ่งตัวไปข้างปากบ่อ ชะโงกมองข้างใน
ปากบ่อมืดสนิทมองไม่เห็นก้น ลู่ชิงจิ่วร้องเรียกอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือใดๆ จากข้างใน
“มีคนมั้ยครับ มีคนตกลงไปใช่มั้ย” ลู่ชิงจิ่วตะโกนต่อ “ถ้ามีคนช่วยตอบหน่อย”
ภายในบ่อน้ำเงียบกริบ
ลู่ชิงจิ่วร้องเรียกอีกหลายครั้ง ก็ยังคงไม่มีเสียงตอบรับใดๆ กลับมา เขาคิดว่าคงไม่ใช่คนที่ตกลงไปในน้ำ ถ้าอย่างนั้นอะไรตกลงไปกันแน่ หากแต่มีเสียงร้องเรียกของอิ่นสวินดังขึ้นมาก่อน “จิ่วเอ๋อร์? จิ่วเอ๋อร์? นายอยู่ไหน”
“ฉันอยู่ลานหลังบ้าน” ลู่ชิงจิ่วขานรับ
“นายไปทำอะไรที่ลานข้างหลัง” อิ่นสวินถาม “ฉันเก็บผักมาแล้ว แตงกวานี่หวานจริง…”
ลู่ชิงจิ่วเหลือบมองปากบ่อ “ฉันเพิ่งได้ยินเสียงของตกลงไป ก็เลยมาดูน่ะ”
“อ้อ งั้นมีของอะไรตกลงไปมั้ย” อิ่นสวินยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าสวนหลังบ้าน ในมือถือแตงกวาหั่นครึ่ง มองลู่ชิงจิ่วอยู่ไกลๆ
“ไม่มี” ลู่ชิงจิ่วตอบ
“งั้นช่างมันเถอะ” อิ่นสวินเอ่ย “อาจจะเป็นเด็กบ้านไหนไม่ทันระวัง ปาก้อนหินจากนอกกำแพงลงในปากบ่อล่ะมั้ง”
ลู่ชิงจิ่วครุ่นคิด ถ้าที่ตกลงไปไม่ใช่คนก็ดีแล้ว เขาไม่ได้สนใจมันอีก จึงเดินออกจากลานหลังบ้านไปหาอิ่นสวิน แล้วเดินไปสวนด้านหน้าด้วยกัน อิ่นสวินมองลู่ชิงจิ่วพลางกัดแตงกวาเคี้ยวกรุบๆ ก่อนเอ่ยเสียงอู้อี้ “บนหลังนายคืออะไรน่ะ”
“บนหลังฉัน?” ลู่ชิงจิ่วเอี้ยวศีรษะมองข้างหลังตัวเอง “มีอะไร”
อิ่นสวินยื่นมือมาคว้าอะไรบางอย่างสีดำๆ ออกจากแผ่นหลังของลู่ชิงจิ่ว “นี่ไง…”
พอลู่ชิงจิ่วมองของในมืออิ่นสวินชัดๆ ก็พบว่ามันคือกลุ่มผมสีดำขลับ ไม่รู้ว่าติดอยู่บนแผ่นหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
“นี่มันผมนี่นา อะไรวะ!” เมื่ออิ่นสวินเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่อยู่ในมือของตนคือเส้นผม ก็รีบสะบัดทิ้งไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว “เล่นบ้าไรเนี่ย อี๋ จะอ้วก”
ลู่ชิงจิ่ว “…” เขาจ้องมองบ่อน้ำที่สวนหลังบ้านของตนเงียบๆ ในใจรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก
“ไม่ต้องกลัวๆ ไม่มีอะไรหรอก” อิ่นสวินพูด “ชนบทก็แบบนี้แหละ ห่างไกลความเจริญ เลยมีเรื่องอะไรแปลกๆ หน่อย…”
ลู่ชิงจิ่วชะงัก “เรื่องแปลกๆ? ยังไง”
อิ่นสวินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบากับลู่ชิงจิ่ว “เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว ลูกสาวคนเล็กของบ้านหลิวจมน้ำตาย”
“จมน้ำตาย?” ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ที่ลำธารเล็กในหมู่บ้าน? ตรงนั้นมันไม่ได้ตื้นมากๆ หรอกเหรอ” ตามที่เขาเข้าใจ บริเวณที่พวกเขาอยู่นี้ไม่ได้มีแม่น้ำลำธารมากนัก พื้นที่ใกล้ๆ หมู่บ้านที่มีแหล่งน้ำก็เป็นแค่ลำธารเล็กๆ ความลึกไม่เกินเข่า กระแสน้ำในลำธารนั้นไม่แรง แถมยังไม่มีวัชพืชใต้น้ำ ต่อให้ตกลงไปยังไงก็สามารถยืนขึ้นมาได้
“ไม่ใช่” อิ่นสวินตอบ “ถ้าเป็นที่นั่นน่ะไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรหรอก เธอจมน้ำ…ในป่าต่างหาก”
ชั่วขณะนั้นลู่ชิงจิ่วไม่เข้าใจจึงย้อนถามอีกครั้งด้วยความสงสัย “ในป่า?”
“ใช่” อิ่นสวินตอบเสียงเบา “ในป่านั่นแหละ ทั้งที่โดยรอบไม่มีแหล่งน้ำเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นบ้านหลิวแจ้งความ แต่ตำรวจบอกผลชันสูตรออกมาว่าจมน้ำตาย”
ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “สุดท้ายเป็นยังไง”
“สุดท้ายจะเป็นยังไงได้ล่ะ” อิ่นสวินเอ่ย “ก็ต้องให้เป็นแบบนั้นไป ความจริงเรื่องแปลกๆ อย่างนี้ หมู่บ้านอื่นๆ ก็มีเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยหรอก สองสามปีมีหน”
ลู่ชิงจิ่วพูดไม่ออก ที่จริงตอนที่เขาทำงานอยู่ในเมืองใหญ่ก็เคยเจอเรื่องอะไรแบบนี้ ไม่คิดว่าเปลี่ยนสถานที่แล้วยังจะเจอเรื่องอะไรแปลกๆ อยู่อีก
“เพราะงั้น ทีหลังถ้าเจอแบบนี้อีกก็ทำเป็นมองไม่เห็นซะนะ” อิ่นสวินบอก “มองไม่เห็น ก็ไม่ว้าวุ่นใจ”
ลู่ชิงจิ่วแอบคิดในใจ มองไม่เห็นใจก็ไม่ว้าวุ่น มันจะช่วยได้เรอะ…
อิ่นสวินส่งแตงกวาให้ลู่ชิงจิ่ว ทั้งสองนั่งยองๆ ในลานหน้าบ้าน ลงมือล้างผักต่อ
แตงกวารสชาติไม่เลว ทั้งกรอบทั้งหวานอร่อย ไม่ขมเลยแม้แต่น้อย ความฉ่ำก็พอเหมาะ ให้ความรู้สึกเหมือนกับกินผลไม้ ลู่ชิงจิ่วกินแตงกวาแล้วรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย จึงพูดว่า “งั้นนายเคยเจอเรื่องแปลกๆ อะไรบ้างมั้ย”
อิ่นสวินยิ้มยิงฟัน โชว์เขี้ยวน่ารัก “น่าจะเคยมั้ง ฉันไม่ได้ใส่ใจ”
ลู่ชิงจิ่วคิดในใจ คงจิตแข็งมากทีเดียว
อิ่นสวินเก็บผักมาไม่น้อย เมื่อล้างเสร็จแล้ว ลู่ชิงจิ่วก็นำน้ำซุปจากกระดูกที่เคี่ยวได้ที่ผสมกับเครื่องเทศปรุงรสที่ซื้อมาจากในเมือง พอเดือดแล้วก็ยกเข้าไปในลานบ้าน ทั้งคู่เปิดเหล้าดื่มกันสองสามขวด
รสชาติของหม้อไฟนั้นแสนเรียบง่าย ดีที่ส่วนผสมสดใหม่ จึงได้รสชาติที่ใช้ได้ กลิ่นหอมของซุปกระดูกอบอวลไปทั่วสวน อิ่นสวินดื่มไปหลายแก้วจนแก้มทั้งสองข้างขึ้นริ้วแดงก่ำ ดูแล้วน่าจะเริ่มเมา
ลู่ชิงจิ่วเองก็มีอาการเมาไม่น้อยแล้วเหมือนกัน ชายหนุ่มไม่ได้เมามานาน ปกติทำโอทีจนตาลายไปหมด ไหนเลยจะมีเวลาไปดื่มกับเพื่อนสักแก้วสองแก้ว
อาจเพราะบ้านเก่าทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย ไม่ต้องคิดว่าพรุ่งนี้ต้องไปตอกบัตรเข้างาน คิดมาถึงตรงนี้ ลู่ชิงจิ่วก็เห็นอิ่นสวินที่นั่งอยู่ตรงหน้ายื่นมือออกมากะทันหัน ชี้ไปด้านหลังของเขาแล้วพูดพึมพำ “มืด…มืดจัง”
“อะไร” ลู่ชิงจิ่วถาม “ไม่ใช่เปิดไฟแล้วเหรอ”
อิ่นสวินเอียงศีรษะ สีหน้าค่อนข้างสับสน “แต่มันยังมืดมากเลยนะ”
ลู่ชิงจิ่วคิดว่าอิ่นสวินเมาแล้วแน่ๆ กระทั่งเขาหันศีรษะมองไปทางด้านหลังตัวเอง ถึงได้เข้าใจความหมายที่อิ่นสวินเอ่ย เงาดำของคนเงาหนึ่งยืนห่างพวกเขาออกไปไม่เท่าไหร่ เงาของคนคนนั้นมืดสนิทเหมือนหลุมดำที่ดูดกลืนแสงสว่าง เมื่อแสงสาดไปถึงตำแหน่งนั้นก็เหมือนกับถูกกลืนหายไป ลู่ชิงจิ่วขยี้ตาตัวเองแรงๆ จึงเห็นแจ่มแจ้งว่าแท้จริงแล้วเงามืดนั้นคือกลุ่มผมของมนุษย์
“นายรู้มั้ยฉันหวาดกลัวอะไรมากที่สุด” น้ำเสียงแผ่วเบาของหญิงสาวดังขึ้นข้างใบหู
บางทีแอลกอฮอล์อาจทำให้โสตประสาทเป็นอัมพาตไปแล้ว ลู่ชิงจิ่วถึงไม่ได้สะพรึงกลัวมากขนาดนั้น เขามองกลุ่มผมนั่น ได้ยินหญิงสาวเอ่ยถามอีกครั้ง
“นายรู้มั้ยฉันหวาดกลัวอะไรมากที่สุด” กลุ่มผมสีดำขยับใกล้พวกเขาเข้ามาอีก
ริมฝีปากของลู่ชิงจิ่วสั่นน้อยๆ “สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุด…”
“อะไร”
“กลัว…กลัวหัวล้าน?” ลู่ชิงจิ่วที่ดื่มจนเมาแล้วเอ่ยตอบอย่างจริงจัง รู้สึกว่าตรรกะของตนถูกต้องที่สุด ไม่อย่างนั้นผีสาวตนนี้จะไว้ผมยาวขนาดนี้เพื่ออะไร เขาเอ่ยประโยคนี้พลางลูบผมของตัวเองแล้วถอนหายใจอย่างเศร้าๆ “โชคดีที่ฉันลาออกเร็ว ไม่งั้นคงหนีไม่พ้น…”
เงาสีดำสั่นไหวอยู่สองครั้ง ไม่รู้ว่าช็อกกับคำตอบของลู่ชิงจิ่วไปแล้วหรือเปล่า เวลาผ่านมานานหลายปี เธอเพิ่งเคยได้ยินคำตอบแบบนี้เป็นครั้งแรก ชายหนุ่มตรงหน้าเธอทั้งบริสุทธิ์และไร้เดียงสา ไม่เหมือนกับพวกน่ารักดัดจริตคนอื่นๆ เลยสักนิด
เงาดำข้างหน้าดูเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่บริเวณโดยรอบลานหน้าบ้านกลับปรากฏกลุ่มหมอกหนาสีดำ ผีสาวรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง เพียงครู่เดียวก็ล่องหนหายไปต่อหน้าต่อตาลู่ชิงจิ่ว ทิ้งไว้เพียงน้ำเจิ่งนองบนพื้น
ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าตัวเองเมาแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นเงาผมนั่นจะหายไปได้ยังไง อิ่นสวินคำรามพลางเปิดขวดเหล้าอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะรินให้เขาเต็มแก้ว
“ดื่ม…” อิ่นสวินกัดลิ้นพูด “ดื่มต่อ…”
ลู่ชิงจิ่วยกแก้วไปดื่มรวดเดียวหมด “ดื่ม!”
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น เขาจำได้ไม่ชัดเจนนัก รู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนเช้าตรู่ของวันถัดมาแล้ว เขากับอิ่นสวินนอนอยู่ในลานหน้าบ้านทั้งคืน พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกปวดหลังไปหมด ร่างแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณศีรษะ อาการเมาค้างทำเอาปวดหัวเสียจนแทบจะระเบิด ลู่ชิงจิ่วคลานขึ้นจากพื้นอย่างงงๆ ก่อนจะผลักอิ่นสวินที่นอนหลับหน้าตาบิดเบี้ยวอยู่ข้างๆ
“อะ…โอย…” อิ่นสวินลืมตาแล้วส่งเสียงร้อง “ฉันปวดไปหมดทั้งตัวเลยเนี่ย จิ่วเอ๋อร์ เมื่อคืนนายอาศัยจังหวะที่ฉันเมาทุบตีฉันเรอะ”
ลู่ชิงจิ่ว “ฉันก็ปวดตัวมากเหมือนกัน โอเคมั้ย”
อิ่นสวินประท้วง “ไม่ได้ๆ ปวดหนักไปทั้งตัวแบบนี้ โดยเฉพาะตรงก้น” ชายหนุ่มนวดบั้นท้ายของตน มองทางลู่ชิงจิ่วอย่างสงสัยเต็มแก่ “นายไม่ได้ทำอะไรฉันจริงๆ ใช่มั้ย”
ลู่ชิงจิ่ว “กระจกอยู่ในบ้าน นายไปส่องดูหน้าตัวเองเรียกสติหน่อยไป”
อิ่นสวิน “ฉันหน้าตาดีขนาดนี้”
ลู่ชิงจิ่ว “หน้าตาดีบ้านนายสิ บวมจนจะเป็นหมูอยู่แล้ว”
อิ่นสวินมีสีหน้าไม่แน่ใจ เดินซวนเซเข้าบ้านไปยังกระจกที่แขวนอยู่ในห้องน้ำ ก่อนลู่ชิงจิ่วจะได้ยินเสียงกรีดร้องจากชายหนุ่ม “ลู่ชิงจิ่ว ไอ้บ้าเอ๊ย นายฉวยโอกาสทุบตีตอนฉันหลับ!”
ลู่ชิงจิ่ว “ฉันไม่ได้ทำ!”
อิ่นสวิน “งั้นทำไมฉันบวมตุ่ยแต่นายไม่บวม ฮะ!”
ลู่ชิงจิ่ว “อาจจะเพราะฉันหน้าตาดีมั้ง”
อิ่นสวิน “…” นายนี่มันหน้าไม่อายจริงๆ
แซวมาก็แซวกลับ จู่ๆ ใบหน้าก็บวมขึ้นมากะทันหัน จนลู่ชิงจิ่วต้องรีบไปเช็กดูบ้าง สุดท้ายทั้งสองคนต่างจับมือกันโซซัดโซเซไปอนามัยของหมู่บ้าน ชาวบ้านที่รู้จักพอเห็นท่าทางแสนน่าสงสารของพวกเขาก็พากันขำขันอย่างสนุกสนาน เอ่ยแซวว่าเมื่อคืนไปแอบขโมยข้าวโพดแล้วถูกเขาจับได้จนโดนไล่ตีมาเหรอ
อิ่นสวินเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ป้าครับ อย่าล้อผมเลย”
เมื่อมาถึงอนามัย หลังจากหมอทำการตรวจเรียบร้อยก็บอกว่าอิ่นสวินแพ้อะไรสักอย่าง ไม่ใช่ถูกคนทุบตี ลู่ชิงจิ่วถึงได้หลุดพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัย
“แพ้อะไรเหรอครับ” อิ่นสวินไม่เข้าใจ “ผมกินอะไรที่ก็กินอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ”
ลู่ชิงจิ่วนึกสักพัก แล้วเอ่ยอย่างไม่แน่ใจว่า “หรือนายจะแพ้เครื่องปรุงหม้อไฟที่ฉันเอามา”
อิ่นสวินชะงัก “…ไม่ใช่น่า! จะมาแพ้เครื่องปรุงหม้อไฟเนี่ยนะ?!”
“เป็นไปได้” ลู่ชิงจิ่ววิเคราะห์โดยละเอียด “ส่วนประกอบในหม้อไฟมีเครื่องเทศอยู่ไม่น้อย อาจทำให้แพ้ได้…แหงแหละว่ามันเป็นแค่ความเป็นไปได้ คนที่แพ้เครื่องปรุงหม้อไฟฉันก็เพิ่งเจอนายเป็นคนแรก”
อิ่นสวินถึงกับหลั่งน้ำตาแห่งความเศร้า
หมอเห็นว่าอาการของอิ่นสวินไม่สาหัส จึงสั่งยาให้เขากลับไปทาน พร้อมบอกว่าหากเขาไม่ไปสัมผัสสิ่งที่ทำให้เกิดอาการแพ้ อีกสองวันก็หาย
จากนั้นคนป่วยทั้งสองก็ประคองกันกลับบ้าน
ลู่ชิงจิ่วกลับถึงบ้านก็นอนบนเตียงอยู่ค่อนวันจึงค่อยรู้สึกดีขึ้น พอตื่นนอนก็ลุกมาเก็บของที่ลานหน้าบ้าน เขาเหลือบมองที่ตำแหน่งของลานด้านหลัง เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้รางๆ แต่เวลานี้กลับคิดไม่ออก สุดท้ายเขาก็นึกไม่ออกจนขี้เกียจจะนึกแล้ว เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
ปัดกวาดบ้านเรียบร้อย ก็หาอาหารกินรองท้อง ลู่ชิงจิ่วใช้น้ำอุ่นแช่เมล็ดพันธุ์ ตั้งใจว่าจะปลูกบางส่วนในตอนบ่าย น้ำอุ่นแช่เมล็ดจะช่วยให้มันแตกหน่อได้ง่าย อิ่นสวินได้บอกเอาไว้ เมื่อแช่เมล็ดเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็ไปหาเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ข้างๆ เห็นลูกของเพื่อนบ้านนั่งสานเชือกป่านอยู่ในลานบ้านพอดี เพื่อนบ้านเคยเห็นลู่ชิงจิ่วเมื่อเขายังเด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณยายนับว่าไม่เลว วันที่สองที่ลู่ชิงจิ่วกลับมา คุณยายก็นำมันหวานหนึ่งตะกร้ามาให้เขา ลู่ชิงจิ่วรีบขอบคุณด้วยความจริงใจ
“เสี่ยวลู่มีเรื่องอะไรเหรอ” ลุงหลี่ที่เป็นเพื่อนบ้านเอ่ยถาม
“ผมอยากถามว่าเสี่ยวอวี๋ว่างมั้ยครับ” ลู่ชิงจิ่วกล่าว “พอดีที่บ้านผมต้องการหญ้าเลี้ยงหมู”
เสี่ยวอวี๋คือชื่อของลูกเพื่อนบ้าน ชื่อเต็มๆ คือหลี่เสี่ยวอวี๋ เมื่อเขาได้ยินประโยคนี้ก็รีบพยักหน้า โยนเชือกป่านในมือทิ้งพลางบอก “ผมว่างครับ อยากได้กี่ตะกร้าดี”
“กี่ตะกร้าก็ได้” ลู่ชิงจิ่วคิดว่าอายุหลี่เสี่ยวอวี๋น่าจะเข้าเรียนชั้นประถมแล้ว “สถานที่เก็บหญ้าเลี้ยงหมูอันตรายหรือเปล่า เด็กไปได้เหรอครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก” ลุงหลี่ได้ยินก็หัวเราะ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “พวกเขาคุ้นชินกับที่นั่นตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ยังไม่ขอบคุณพี่ชายลู่อีกเรอะ”
“ขอบคุณครับพี่ลู่” หลี่เสี่ยวอวี๋ลุกยืนด้วยความดีใจ เห็นได้ว่าเด็กคนนี้มีความสุขมากที่ได้หาเงินพิเศษ ซึ่งคนในครอบครัวก็ไม่ต่อต้าน
“นายไม่มีเรียนเหรอ” ลู่ชิงจิ่วถาม
“เรียนแค่ครึ่งวัน” ลุงหลี่ตอบแทนอย่างไม่แยแส “หลังจากนี้ยังไงก็กลับบ้านมาทำไร่ทำสวนอยู่แล้ว เรียนที่นั่นจะมีประโยชน์อะไร ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นนักศึกษาแบบนายได้สักหน่อย”
ลู่ชิงจิ่วให้เงินหลี่เสี่ยวอวี๋ไปสองหยวน มองเด็กชายสะพายตะกร้าไม้ไผ่กับเคียวออกจากบ้านไปอย่างมีความสุข
เมื่อมองแผ่นหลังของเด็กชายแล้ว ลู่ชิงจิ่วอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับไม่ได้เอ่ยออกไป มันเป็นเรื่องในบ้านคนอื่น หากเขาเข้าไปข้องแวะคงจะไม่ดี
หลังจากนั้นลู่ชิงจิ่วก็นำเมล็ดที่แช่น้ำร้อนไปปลูกในสวน คราวนี้เขาไม่ได้ปลูกเยอะเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ที่ปลูกคือเมล็ดของพืชที่ใช้กินในชีวิตประจำวัน จำพวกแตงกวา มะเขือเทศ แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะปลูกผักอื่นๆ และฝังหัวมันฝรั่งบางส่วนไปด้วย
ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นเพียงการลองทำครั้งแรก ลู่ชิงจิ่วไม่ชำนาญนัก เขาปลูกแบบเรื่อยๆ สบายๆ ตามที่อิ่นสวินบอกไว้ หากเขาไม่ได้ใส่ใจกับผลลัพธ์และไม่ได้นำไปขาย ความจริงมันก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ จึงไม่จำเป็นต้องเปลืองใจเปลืองกำลังรอคอยผลผลิต
ลู่ชิงจิ่วปลูกได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ท้องฟ้าก็เกือบมืดแล้ว เขาเสียเหงื่อไปมากจนเสื้อผ้าแทบจะเปียกหมดทั้งตัว เขาถอนหายใจ คงมีแต่คนที่ลงมือทำสวนเองเท่านั้นแหละที่จะเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าความลำบากของงานใช้แรง จะปลูกอะไรก็แสนเข็ญ
ลู่ชิงจิ่วเห็นท้องฟ้ามืดแล้ว จึงกลับบ้านมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็นำซาลาเปาที่ซื้อมาเมื่อวานนึ่งในหม้อไอน้ำ ตั้งใจว่าจะกินตอนเย็น
ขณะที่ซาลาเปากำลังนึ่งได้ที่ ก็มีคนเคาะประตูทางด้านหน้า ลู่ชิงจิ่วเปิดประตูออกดูจึงพบว่าเป็นหลี่เสี่ยวอวี๋ที่กลับมาจากการไปเก็บหญ้าเลี้ยงหมูบนภูเขาแล้ว ในมือของเด็กชายถือตะกร้าใบใหญ่ที่มีหญ้าเลี้ยงหมูถูกเชือกมัดไว้อย่างดี รอยยิ้มประดับทั่วทั้งใบหน้า “พี่ลู่ ผมตัดหญ้ามาให้แล้วนะครับ ผมว่างพอดี ให้ผมช่วยให้อาหารพวกมันเลยมั้ย”
ลู่ชิงจิ่วคิดจะปฏิเสธ แต่เด็กชายพุ่งตัวไปทางคอกหมูอย่างรวดเร็ว จะห้ามก็ห้ามไม่ทัน
เมื่อไม่มีทางเลือก ลู่ชิงจิ่วก็ทำได้แค่หันกลับเข้าบ้าน ห่อซาลาเปาที่นึ่งสุกสองสามลูกให้เด็กชาย คิดว่าจะเอาช็อกโกแลตในกระเป๋าเดินทางของตนออกมาให้เด็กน้อยด้วย
ลู่ชิงจิ่วถือของเหล่านั้นไปยังคอกหมู ยังไม่ทันถึงก็ได้ยินเสียงหลี่เสี่ยวอวี๋ร้องขึ้นว่า “พี่ลู่ ลูกหมูบ้านพี่น่ารักมากเลย!”
พอชายหนุ่มเดินไปถึง ก็เห็นลูกหมูสีดำถูกหลี่เสี่ยวอวี๋อุ้มขึ้นแนบอก มันทำหน้าภูมิอกภูมิใจ ราวกับจะบอกว่าเจ้าเด็กคนนี้ตาถึงจริงๆ
ลู่ชิงจิ่ว “…” ทำไมเขาถึงอ่านสีหน้าของหมูออกล่ะ
“ผมตั้งชื่อให้มันได้มั้ยครับ” หลี่เสี่ยวอวี๋หันมองมาทางลู่ชิงจิ่ว
ลู่ชิงจิ่ว “…” เขานึกถึงเรื่องน่าเศร้าของอิ่นสวิน แต่เมื่อได้สบสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของหลี่เสี่ยวอวี๋ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะทำหมูสามชั้นน้ำแดงให้อร่อยที่สุดแล้วกัน “ได้สิ”
“แกชื่อเสี่ยวฮวาแล้วกัน” หลี่เสี่ยวอวี๋พูดกับเจ้าหมูดำตัวใหญ่
ลู่ชิงจิ่ว “…” นี่มันโชคชะตากำหนดเหรอ เขาเอ่ยอย่างนุ่มนวล “ทำไมต้องชื่อเสี่ยวฮวาด้วยล่ะ ตั้งชื่ออื่นไม่ดีเหรอ”
หลี่เสี่ยวอวี๋ “แต่ข้างหลังของมันเป็นรูปดอกไม้นะครับ” บนแผ่นหลังของหมูตัวนี้ปกคลุมด้วยชั้นขนนุ่มซึ่งมีลวดลายคล้ายกระรอก และมีสีดำแซมน้ำตาล
ลู่ชิงจิ่ว “…” เขาไม่อาจปฏิเสธ
หลี่เสี่ยวอวี๋พูด “แกชื่อเสี่ยวเฮยนะ” เด็กชายตั้งชื่อให้ลูกหมูสีดำตัวเล็ก “พวกแกเป็นลูกหมูที่น่ารักที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลย!”
ลู่ชิงจิ่วแอบคิด บางทีอาจหมายถึงลูกหมูที่อร่อยที่สุดหรือเปล่า…
หลี่เสี่ยวอวี๋มองเสี่ยวฮวาและเสี่ยวเฮยกินอาหารจนอิ่ม เห็นท้องเล็กๆ ป่องขึ้น เด็กชายถึงบอกลาลู่ชิงจิ่วด้วยความพึงใจ พร้อมถามอย่างเขินอายว่าเก็บหญ้าเลี้ยงหมูครั้งต่อไป ให้เขาทำอีกได้มั้ย ลู่ชิงจิ่วพยักหน้าตกลง ส่งซาลาเปาและช็อกโกแลตในมือให้หลี่เสี่ยวอวี๋
เห็นเด็กน้อยกระโดดวิ่งจากไปแล้ว ลู่ชิงจิ่วก็มองตามเสี่ยวฮวาที่กำลังเลียขนให้เสี่ยวเฮยแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเฮย เสี่ยวฮวา โตดีๆ กันนะพวกแก”
เสี่ยวฮวา “…” นายเรียกใครน่ะ ใครชื่อเสี่ยวฮวา ฉันเป็นตัวผู้ที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ จะให้ยอมรับชื่อแบบนี้ได้ยังไง!
เสี่ยวเฮย “…” ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ชายพูดบ้าไรเนี่ย อื้ม…หญ้าอร่อยจริงๆ ง่ำๆๆ
เสี่ยวฮวา “แกยังจะกินอีกเหรอ กินจนอ้วนเดี๋ยวก็โดนฆ่ากินเนื้อหรอก!”
เสี่ยวเฮยรู้สึกผิดเต็มแก่ “พี่ชาย พี่ดุเกินไปแล้วนะ อีกอย่าง เมื่อกี้พี่ก็กินอย่างเอร็ดอร่อยเลยนะ”
เสี่ยวฮวา “หุบปาก! ไม่ต้องพูดแล้ว!”
ลู่ชิงจิ่วที่ยืนอยู่ข้างคอกหมูฟังบทสนทนาระหว่างหมูน้อยสีดำสองตัวนี้ไม่ออก ได้ยินแต่เสียงครางของพวกมัน ถือเสียว่าท่าทางนั้นคือการได้กินอย่างมีความสุข ขณะที่เขาหมุนตัวกลับเข้าบ้าน ก็นึกขึ้นว่าหากมีเวลาจะไปซื้อนกมาเลี้ยงสักหน่อย ที่ลานบ้านจะได้ครึกครื้น…
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 11 ส.ค. 65