everY
ทดลองอ่าน Guardian เล่ม 1 บทที่ 1 #นิยายวาย
บทที่ 1
อาคารหมายเลขสี่ ถนนกวงหมิง*
วันที่สิบห้าเดือนเจ็ดตามปฏิทินจันทรคติ ท้องฟ้ายังคงมืดมิด
เหล่าแมวจรจัดน้อยใหญ่พากันกลับถิ่นไปหมดแล้ว เวลานี้แม้แต่ถนนใหญ่ของเมืองหลงเฉิงเองก็เริ่มเปลี่ยวร้าง มีเพียงเสียงร้องของแมลงดังแว่วมาจากพุ่มไม้เป็นครั้งคราว เดี๋ยวดังเดี๋ยวเงียบ ยิ่งทำให้บรรยากาศน่ากลัวจนขนหัวลุก
ตอนนี้เป็นเวลาตีสองครึ่ง น้ำค้างเริ่มลงและอากาศเริ่มชื้น
ทั้งชื้นทั้งเหนียวเหนอะหนะ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีลมหรือเปล่า ตามซอกมุมถึงได้ดูเหมือนมีเงาของอะไรบางอย่างแวบไปแวบมาตลอดเวลา ทำให้คนเดินถนนอดรู้สึกไม่ได้ว่ามีบางอย่างจับจ้องอยู่ที่หลังของตน
ในตอนนี้กัวฉางเฉิงได้ถือจดหมายแจ้งให้ทราบของเขาเดินเข้าไปยังอาคารหมายเลขสี่ ถนนกวงหมิง
พ่อแม่ของกัวฉางเฉิงตายตั้งแต่เขายังเด็ก เขาไม่หล่อแถมยังมีนิสัยรักสันโดษและขี้ขลาด เป็นพวกที่เกิดมาแล้วต้องพึ่งพาคนอื่นเสมอ โชคดีที่มีบรรดาป้าๆ ในบ้านเลี้ยงดูเขาเป็นอย่างดี ผลัดกันดูแลจนกระทั่งเขาเรียนจบมหาวิทยาลัย
น่าเสียดายที่กัวฉางเฉิงเป็นคนเหยาะแหยะ การเรียนจึงกระท่อนกระแท่นอยู่ในระดับปลายแถวของมหาวิทยาลัย เกรดเฉลี่ยก็ปานกลาง เวลายืนนิ่งๆ เขาดูสูงใหญ่น่าเกรงขาม แต่พอเจอคนแปลกหน้าทีไรเป็นขี้หดตดหายทุกที
ดังนั้นกัวฉางเฉิงจึงไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังด้วยการไม่ยอมหางานทำ หลังจากเรียนจบเขาก็เอาแต่นั่งๆ นอนๆ หมกตัวอยู่แต่ในบ้านมากว่าครึ่งปีแล้ว
ต่อมาลุงรองของเขาที่ถูกย้ายไปทำงานในกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติทนดูต่อไปไม่ไหว จึงใช้เส้นสายช่วยหางานในเครือกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติให้หลานชายที่ไม่เอาไหนอย่างเขา อย่างน้อยเขาจะได้มีอะไรทำบ้าง
เดิมทีกัวฉางเฉิงคิดว่าวิถีชีวิตในอนาคตของเขาต่อจากนี้คือการใส่เครื่องแบบ ไปทำงานตั้งน้ำชงชา จัดแฟ้มเล่นเกมเรียงไพ่ เข้างานเก้าโมงเลิกงานห้าโมงเย็น…จนกระทั่งเขาได้รับจดหมายแปลกๆ ฉบับนี้ ‘จดหมายแจ้งข้อเสนออย่างเป็นทางการ’
ตอนแรกกัวฉางเฉิงยังคิดว่าที่ไหนออกจดหมายมาผิด แต่ก็เห็นว่าบนจดหมายนั้นเขียนด้วยตัวหนังสือแดงเข้มว่า
‘สหายกัวฉางเฉิง
ยินดีด้วย คุณได้รับคัดเลือกจากหน่วยงานของเราให้ทำงานที่นี่ คุณจะได้รับเงินเดือนและสวัสดิการที่สูงกว่าข้าราชการระดับเดียวกันหรือระดับสูงกว่าจากหน่วยอื่นๆ ของกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ ในขณะเดียวกันยังได้รับใช้ประชาชนโดยการรับผิดชอบงานสำคัญ หวังว่าวันข้างหน้าคุณจะอุทิศตนและทุ่มเทให้กับการทำงานในตำแหน่งใหม่ ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น เชื่อมั่นในอุดมการณ์ของผู้นำ รักสามัคคี เป็นมิตรที่ดีของเพื่อนร่วมงาน สร้างผลงานให้ตนเองด้วยการร่วมกันสร้างเสถียรภาพทางสังคมและความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศชาติ
ในวันที่สามสิบเอ็ดเดือนแปด (วันที่สิบห้าเดือนเจ็ดตามปฏิทินจันทรคติ) เวลาสองนาฬิกาสามสิบนาที กรุณานำบัตรประชาชนและจดหมายแจ้งให้ทราบฉบับนี้มารายงานตัวที่สำนักงานของเราให้ตรงเวลา (อาคารหมายเลขสี่ ถนนกวงหมิง ชั้นหนึ่งฝ่ายบุคคลและธุรการ) ในนามของบุคลากรทุกคนในหน่วยงาน ผมขอต้อนรับคุณมาเป็นเพื่อนร่วมงานและสหายที่ดีของพวกเรา
กระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ
หน่วยสืบสวนคดีพิเศษ
วันที่ XX เดือน XX ปี XXXX’
ตามปกติแล้ว เมื่อเห็นช่วงเวลาที่ให้ไปรายงานตัวแปลกๆ แบบนี้ คนทั่วไปย่อมคิดว่าเป็นการพิมพ์ผิด อย่างน้อยก็ต้องโทรศัพท์ไปขอคำยืนยันสักหน่อย แต่กัวฉางเฉิงเป็นโรคกลัวการเข้าสังคม ชีวิตที่ปิดตายกว่าครึ่งปียิ่งทำให้โรคกลัวการโทรศัพท์ของเขากำเริบรุนแรงยิ่งขึ้น แค่คิดว่าจะต้องโทรหาคนอื่น เขาก็เครียดจนนอนไม่หลับทั้งคืนแล้ว
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ยอมโทรไปจนกระทั่งถึงเที่ยงคืนของวันที่สามสิบเดือนแปด
และแล้วกัวฉางเฉิงก็คิดหาทางออกที่เขาคิดเอาเองว่าดีที่สุดได้…เขายอมอดนอนหนึ่งคืน ตัดสินใจว่าจะไปด้วยตัวเองตอนตีสองครึ่งรอบหนึ่ง ถ้าไม่เจอใครก็จะไปแอบงีบในร้านแมคโดนัลด์ที่อยู่ใกล้ๆ พอบ่ายสองโมงครึ่งค่อยไปอีกรอบ เวลาที่คาดไว้สองรอบนี้ยังไงซะก็ต้องมีที่ถูกต้องสักรอบหนึ่ง
เวลาแบบนี้รถไฟใต้ดินในเมืองหยุดวิ่งหมดแล้ว กัวฉางเฉิงจึงต้องขับรถไปเอง หลังจากเสียเวลาขับรถวนหาอยู่นาน ในที่สุดเขาก็เจอที่หมายโดยมีเนวิเกเตอร์เป็นตัวช่วย
อาคารหมายเลขสี่ ถนนกวงหมิงไม่ได้อยู่ติดถนน แต่ซ่อนตัวอย่างมิดชิดอยู่ในสวนแห่งหนึ่ง กัวฉางเฉิงยืนอยู่หน้าประตูสวน เขาสอดส่ายสายตามองหาอยู่นานโดยมีแสงไฟจากหน้าจอมือถือเป็นตัวช่วย ในที่สุดเขาก็เจอป้ายเล็กๆ ป้ายหนึ่งอยู่ใต้ใบหนาทึบของต้นบอสตันไอวี่ เขามองเห็นหมายเลขที่อยู่ชัดเจน
ใต้ป้ายบ้านเลขที่มีตัวอักษรเล็กจิ๋วแถวหนึ่งสลักอยู่บนก้อนหิน มันสลักเป็นคำว่า ‘หน่วยสืบสวนคดีพิเศษ’ และมีตราประทับของกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติอยู่ด้านล่าง
พื้นที่ในสวนถูกจัดไว้เป็นอย่างดี มีที่จอดรถอยู่หน้าประตู เมื่อเดินเข้าไปข้างในจะเจอกับต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านงอกงามเรียงเป็นแถวราวกับป่าขนาดย่อมที่มีเพียงถนนสายเล็กๆ กั้นกลาง เดินตามถนนไปเขาก็มองเห็นบ้านหลังน้อยที่คาดว่าคงเป็นป้อมยาม และมีอาคารสำนักงานที่ดูเก่าแก่อีกหลังหนึ่ง
ไฟในป้อมยามยังคงสว่าง มีแสงส่องผ่านบานหน้าต่างออกมา กัวฉางเฉิงเห็นเงาคนใส่เครื่องแบบ สวมหมวกใบใหญ่อยู่บนหัว กำลังพลิกหน้าหนังสือพิมพ์ในมือเป็นครั้งคราว
กัวฉางเฉิงไม่ทันได้พิจารณาเจ้าหน้าที่ในป้อมยามให้ดีๆ เขาสูดลมหายใจอย่างแรง ตื่นเต้นจนเหงื่อออกฝ่ามือ
“ผมมาสมัครงาน นี่คือจดหมายแจ้งให้ทราบของผม…ผมมาสมัครงาน นี่คือจดหมายแจ้งให้ทราบของผม…ผมมาสมัครงาน นี่คือจดหมายแจ้งให้ทราบของผม…” กัวฉางเฉิงยืนอยู่ที่เดิม ท่องประโยคนี้งึมงำอยู่ในปากหลายสิบเที่ยวเหมือนกำลังท่องหนังสือ สุดท้ายก็ฝืนทำใจกล้า เดินเข้าไปใช้มืออันสั่นเทาเคาะหน้าต่างป้อมยามสองสามที อีกฝ่ายยังไม่ทันเงยหน้าขึ้นมาเขาก็เอ่ยปากแนะนำตัวเหมือนคนที่กำลังจะขาดใจตายว่า “ผม…ผมมาแจ้งให้ทราบ นี่คือจดหมายสมัครงานของผม…”
คนในป้อมยามมองชายหนุ่มที่มารายงานตัวอย่างงุนงง “เอ๋?”
หมดกัน แค่นี้ยังจะพูดผิดอีก กัวฉางเฉิงอยากจะร้องไห้ อัดอั้นตันใจจนใบหน้ากลายเป็นมันม่วงหัวใหญ่
ดีที่อีกฝ่ายมองเห็นจดหมายแจ้งให้ทราบในมือของเขาแล้วเข้าใจทันที จึงเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “โอ๊ะโอ! นายคือสหายที่มาใหม่ปีนี้ใช่ไหม จะให้เรียกว่าอะไร โอ๊ะ…ฉันเห็นแล้ว เสี่ยวกัว**! พวกเราที่นี่ไม่ได้เห็นคนหน้าใหม่มาหลายปีแล้ว เป็นยังไงบ้าง ที่นี่หาเจอยากไหม”
กัวฉางเฉิงถอนใจโล่งอก เขาชอบคนที่อัธยาศัยดีและเป็นมิตรอย่างนี้ที่สุด เพราะถ้าอีกฝ่ายเป็นคนช่างพูดชอบพล่ามไม่หยุด เขาก็ไม่ต้องพูดอะไร แค่ส่ายหัวกับพยักหน้าก็พอ
“มารายงานตัววันแรกใช่ไหม จะบอกให้นะ นายนี่โชคดีจริงๆ คืนนี้หัวหน้าของพวกเราอยู่พอดี ไปกันเถอะ ฉันจะพาไปทำความรู้จักทุกคน”
พอได้ยินอย่างนั้นกัวฉางเฉิงก็ขนลุกชัน…เขาไม่ได้รู้สึกโชคดี กลับรู้สึกว่าหัวของตัวเองเริ่มจะมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมา
* อาคารหมายเลขสี่ ถนนกวงหมิง ใช้เปรียบเปรยได้กับสถานที่อันเป็นทางผ่านก่อนคนตายจะไปพบทางสว่าง หรือหมายถึงที่อยู่ของคนตายก็ได้ ซึ่งคำว่าสี่ในภาษาจีนออกเสียงเหมือนคำว่าตาย ส่วนคำว่ากวงหมิงหมายถึงแสงสว่าง
** ชาวจีนจะใช้คำว่า ‘เสี่ยว’ เรียกเพื่อนหรือผู้ที่มีอายุน้อยกว่าแล้วต่อด้วยนามสกุล ใช้แสดงความสนิทสนมหรือเป็นชื่อเล่น ส่วนคำว่า ‘เหล่า’ จะใช้เรียกคนที่สนิทสนมกัน แต่อีกฝ่ายมีอายุมากกว่า