everY
ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 2 บทที่ 61 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 2
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
※ เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
※ Trigger ที่ระบุข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักทั้งหมด
※ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 61 เขาเป็นแค่คนธรรมดา
หัวหน้าผู้กำกับและโปรดิวเซอร์รายการ ‘โลกของผู้วิเศษ’ มีชื่อว่าซ่งเวินหน่วน ภูมิหลังของเธอยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ เพื่อถ่ายทำรายการที่ฉายทางช่องเน็ตเวิร์กแบบมือสมัครเล่นทั้งยังไม่ได้อยู่ในกระแสหลัก เธอก็สามารถขอสตูดิโอที่ดีที่สุดของสถานีช่องเลมอนมาได้ เวลานี้เธอกำลังวุ่นวายอยู่กับการวางแผนงาน กว่าจะมีเวลาว่างได้ก็ไม่ง่าย แต่ยังคงโทรไปหาพี่ชายร่วมตระกูลของตัวเองอย่างมีความหวังนิดๆ
“พี่จ๊ะ พี่จ๋า รีบมาช่วยน้องหน่อยเถอะนะ! รายการของฉันจะถ่ายจบอย่างราบรื่นหรือเปล่าขึ้นอยู่กับพี่คนเดียว! พี่ทั้งหล่อทั้งมาดดี มายืนออกกล้องนิดเดียว รับรองดังเป็นพลุแตก! พี่ไม่รู้หรอกว่าคนที่สมัครเข้ามามีแต่พวกพิลึกกึกกือ ฉันเอาไม่อยู่หรอก มีแต่พี่ที่จะช่วยฉันได้!”
น้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์บอกปัดเธออย่างไร้น้ำใจ “ฉันกำลังเขียนวิทยานิพนธ์ชิ้นสำคัญอยู่ ไม่มีเวลา”
“ไม่เอาน่า มีตอนไหนบ้างที่พี่ไม่เขียนวิทยานิพนธ์ รายการฉันกำลังจะถ่ายทำแล้ว พี่มาหน่อยเถอะ มาหน่อยเถอะน้า ฉันขอร้องล่ะ! ถ้าไม่มีพี่เป็นที่ปรึกษาเฉพาะทางของเรา เราไม่มีทางเอาอยู่ คนพวกนั้นเพี้ยนๆ กันทั้งนั้น ฉันสงสัยว่าหลายคนจะเป็นคนบ้า! พี่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ น่าจะช่วยป้องกันเหตุไม่คาดฝันให้เราได้ ถ้าไม่มีพี่ ฉันนึกภาพการออดิชันนี้วุ่นวายเละเทะเป็นโจ๊กได้เลย” ซ่งเวินหน่วนแทบจะคุกเข่าอ้อนวอนพี่ชาย
“ฉันไม่ว่าง เธอคิดหาวิธีเอาเองสิ เธอน่าจะคิดได้ตั้งแต่ตอนวางแผนงานแล้วนะว่ารายการนี้จะเรียกแขกแบบไหนมา” คนที่อยู่ปลายสายปฏิเสธเสียงเย็นชา
ซ่งเวินหน่วนร้อนใจจนเหงื่อตกแต่กลับทำอะไรพี่ชายไม่ได้ เขาดูเหมือนคนสุภาพอ่อนโยน แต่จริงๆ แล้วกลับไม่เคยสนใจใครเลย ถึงขั้นที่ว่าบางครั้งซ่งเวินหน่วนรู้สึกกลัวที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย เพราะเขาไม่เคยรักใคร ไม่เคยแค้นใคร และยิ่งไม่เคยจำใครได้ ในสายตาเขา ทุกคนเหมือนมีตัวตนแต่กลับไร้ตัวตน
ซ่งเวินหน่วนนึกถึงพี่ชายร่วมตระกูลที่พ่อกับแม่ตายอย่างอนาถในวันนั้นแล้วก็ลอบหนาวสั่นในหัวใจ
จังหวะนี้เองรองผู้กำกับคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น ตะโกนเสียงดัง “ฟั่นจยาหลัวมาถึงแล้ว เขามาร่วมการออดิชันจริงๆ!”
“เอ๋? เขามาแล้วเหรอ” ซ่งเวินหน่วนเว้นช่วงไปดูนาฬิกาข้อมือพบว่าเวลาไม่เร็วไม่ช้าเกินไป หกโมงครึ่งพอดี มีเวลาให้เตรียมพร้อมสำหรับการออดิชันอยู่มาก เห็นได้ว่าคนคนนี้ไม่ได้มาเล่นๆ แต่จริงจังกับงานนี้
“ฉันนึกว่าเขาจะไม่มาเสียอีก เพราะเขาเป็นดารา มีสถานภาพและจุดยืนที่ไม่เหมือนใคร เธอไปบอกผู้จัดการเขานะว่ารายการเราเป็นเรียลลิตี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีการโกงเพื่อช่วยเขาเด็ดขาด! ถ้าเขาเก่งจริงก็ได้อยู่ แต่ถ้าไม่เก่งจริงก็ให้รีบไปเสียตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ปล่อยไก่หน้ากล้อง เพราะยิ่งเขาทำเรื่องให้ตัวเองขายหน้ามากเท่าไหร่ ฉันจะยิ่งเอาออกอากาศ เพื่อเรตติ้งฉันทำได้ทุกอย่าง ต่อให้จ้าวเหวินเยี่ยนมาขอ ฉันก็จะไม่เห็นแก่หน้าเขา!”
สกุลซ่งมาจากสายการเมือง ลูกหลานแต่ละรุ่นล้วนมีความเก่งกาจ แตกต่างจากตระกูลนักธุรกิจ คำพูดคำจาจึงมีความเย่อหยิ่งโอหัง
รองผู้กำกับรับคำแล้วรีบวิ่งไปเตือนเฉาเสี่ยวเฟิงต่อหน้าธารกำนัลโดยไม่ไว้หน้าฟั่นจยาหลัว
พอซ่งเวินหน่วนคุยกับทางนี้จบ เธอก็ปรายตามองมือถือ กลับต้องตกใจที่พบว่าครั้งนี้พี่ชายไม่ชิงตัดสายไปก่อน แต่กลับคอยฟังอย่างเงียบๆ
“พี่ ยังอยู่เหรอ” ซ่งเวินหน่วนถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“ยังอยู่” ชายหนุ่มยังอยู่จริง และไม่ได้จมอยู่กับวิทยานิพนธ์ เขาลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้ว ซ้ำยังเป็นฝ่ายเอ่ยถามอย่างไม่เคยทำมาก่อน “ฟั่นจยาหลัวลงเข้าร่วมการออดิชันของพวกเธอเหรอ”
“ใช่ เขามาถึงสตูดิโอแล้ว ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าตัวเองเป็นร่างทรงวิญญาณเพื่อเคลียร์ตัวเองไม่ใช่หรือไง เราเลยส่งจดหมายเชิญเพื่อขอให้เขามาร่วมรายการ ตอนแรกเขาปฏิเสธ แต่ไม่รู้อีท่าไหนถึงตกลง คงเข้าใจว่าเราเป็นเหมือนโปรดิวเซอร์คนอื่นที่อยากได้คนดังมาร่วมรายการแล้วจะยอมทำตามความต้องการของเขา ช่วงนี้เขาดังสุดๆ ไปเลย จ้าวเหวินเยี่ยนเที่ยวหาทรัพยากรระดับสุดยอดมาให้เขา ผู้เฒ่าจ้าวกั๋วอันก็โพสต์ว่าจะชดเชยให้เขาเต็มที่ ไม่รู้จริงๆ ว่าสองคนนี้โดนมนตร์สะกดอะไร ฉันไม่สนใจข่าวเสียๆ พวกนั้นก็จริง แต่ถ้าเขาอยากใช้รายการของฉันเพื่อชุบตัวเป็นร่างทรง เรื่องนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ แค่ฉันไม่แพร่ภาพเสียๆ ของเขาออกไปก็บุญแล้ว…”
ซ่งเวินหน่วนบ่นเสียงแจ้วๆ สิ่งที่เธอทนดูไม่ได้มากที่สุดคือคนที่ไม่เก่งจริงแต่ชอบแอ๊บอย่างฟั่นจยาหลัว ถึงได้อยากเอาเขามาเป็นหินหนุนรายการ แบบนั้นก็ลองประเมินความสามารถของตัวเองซะก่อนเป็นไร!
แต่เธอพูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินพี่ชายบอกมาสั้นๆ อย่างรวดเร็วว่า “ฉันจะไปถึงภายในยี่สิบนาที เก็บที่นั่งกรรมการไว้ให้ฉันด้วย”
สายถูกตัดไปแล้วแต่ซ่งเวินหน่วนยังถือมือถือค้าง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมพี่ชายที่บอกปัดคำขอร้องของคนอื่นอย่างไร้เยื่อใยถึงได้เปลี่ยนใจ ฮัลโหล? นี่เธอหูฝาดไปหรือเปล่า
กล้องเข้าประจำที่เรียบร้อย สปอตไลต์หลายสิบดวงสาดจากสี่ทิศแปดด้านทำให้ที่นี่มองเห็นได้ถ้วนทั่ว ซ่งเวินหน่วนที่ควบตำแหน่งพิธีกรสวมชุดราตรีสั้นสีเหลืองอ่อนยืนเข้ารายการอยู่หน้ากล้อง “สวัสดีค่ะผู้ชมทุกท่าน และนี่คือการถ่ายทำรายการโลกของผู้วิเศษ แต่ละซีซั่นเราจะมีหนึ่งหัวข้อ เช่น ผู้สื่อวิญญาณ จอมพลัง ผู้มีความสามารถพิเศษ เป็นต้น หัวข้อในซีซั่นแรกนี้คือ ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ ในสนามแข่งของเรามีคนจำนวนหลายร้อยคนที่อวดอ้างตัวเองว่ามีอำนาจในการสื่อวิญญาณ สิ่งที่พวกเขาพูดจะเป็นเรื่องจริงหรือหลอก บนโลกมีวิญญาณแปลกๆ จริงหรือไม่ รายการนี้จะเปิดเผยความจริงให้ทุกคนได้รู้ค่ะ”
ซ่งเวินหน่วนหันข้าง เผยให้เห็นคณะกรรมการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสุดยอดของวงการซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งวีไอพี หนึ่งในนั้นดูสะดุดตามากจนกล้องหลายตัวแทบจะจับภาพเขาไว้พร้อมกัน ชายหนุ่มกำลังนิ่วหน้าจ้องจอ ดวงตาเปล่งประกายคล้ายกำลังค้นหาบางสิ่ง เขาสวมชุดสูทระดับไฮคลาสแบบสามชิ้น ออกมาได้อย่างมีมาดและเยือกเย็นซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของชนชั้นสูง บางครั้งเขาจะปรายตามองมาอย่างเย็นชา ทำให้มือของตากล้องสั่นอย่างห้ามไม่อยู่
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มรูปงาม แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นชายหนุ่มที่เย็นชาเหมือนน้ำแข็ง ยิ่งเขาดูเด่นมากเท่าไหร่ คนยิ่งไม่กล้าเข้าใกล้เขามากเท่านั้น ทำให้กรรมการอีกสามท่านที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาพลอยไม่เป็นตัวเอง ต้องคอยขยับเก้าอี้เพื่อจัดท่าทางอยู่เนืองๆ
ซ่งเวินหน่วนแนะนำกรรมการไปทีละคน จากซ้ายไปขวาคือนักสังคมวิทยา ดร. โอวหยาง นักอภิปรัชญา ดร. หลิน นักปรัชญา ดร. เฉียน ตอนที่แนะนำมาถึงชายผู้โดดเด่นที่สุดคนนั้น เธอเน้นเสียงว่า “และท่านนี้คือด็อกเตอร์ซ่งรุ่ย ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก สำเร็จปริญญาโทสาขาปรัชญาสองใบ ปริญญาเอกสาขาจิตวิทยาสามใบ ปริญญาเอกสาขาการเงินสามใบ และปริญญาเอกสาขาวิศวกรรมศาสตร์หนึ่งใบ ทั้งยังเคยเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของบริษัทข้ามชาติอย่างแลมป์สัน โดว วาร์ตั้น เรโนลต์ แม็คเคซัส เป็นผู้นำการควบรวมและซื้อกิจการระดับสูงมากมายและได้รับเชิญให้เป็นศาสตราจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัย B เวลาว่างเขาให้บริการเป็นที่ปรึกษาแก่ทางตำรวจ เคยจับฆาตกรอย่างไป๋อิ๋น คนฆ่าสัตว์อวี่เยี่ย ว่ากันว่าเขามีความสามารถในการอ่านใจคน แค่มองปราดเดียวก็อ่านคำโกหกของคุณออกหมด แล้วเหล่าผู้สื่อวิญญาณในรายการเราจะรอดพ้นสายตาของเขาได้หรือเปล่า เรามาคอยชมกันค่ะ!”
ประวัติและผลงานของซ่งรุ่ยมีความโดดเด่นมากจริงๆ การที่ทางรายการเชิญเขามาได้จึงเป็นเหมือนการชุบตัวด้วยทองคำหนึ่งชั้น สามารถยกระดับตัวเองให้สูงขึ้นได้ภายในชั่วพริบตา ยิ่งไปกว่านั้น รูปลักษณ์ของชายหนุ่มยังเป็นอันดับต้นๆ ในวงการบันเทิงที่มีแต่คนสวยหล่อมากมาย การที่เขามาอยู่ที่นี่ย่อมเป็นการการันตีเรตติ้งด้วย
ซ่งเวินหน่วนอารมณ์ดีจนยิ้มเห็นฟัน เธอไปนั่งอยู่ข้างพี่ชาย แนะนำว่า “กรรมการทุกท่านคะ เห็นจอมอนิเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าคุณกันแล้วใช่มั้ย ภาพจากกล้องวงจรปิดพวกนี้พวกคุณลองสังเกตผู้เข้าแข่งขันของเราแล้วคอมเมนต์ความประทับใจแรกที่มีต่อพวกเขาให้ฟังหน่อยค่ะ พวกคุณชอบใจคนไหน ไม่ชอบคนไหน พูดออกมาได้เลย เราจะลองเดาผลการแข่งขันดู”
“ฉันไม่กล้าเดา แต่จะขอคอมเมนต์นิดหน่อยว่าพวกเขาไม่น่าจะสื่อวิญญาณได้” ดร. เฉียนปัดผมหยักศกตรงจอน พูดด้วยน้ำเสียงอึมครึม
“ถูกต้อง เราต้องขอดูผู้เข้าแข่งขันก่อน” ดร. โอวหยางกับดร. หลินให้การสนับสนุน
ซ่งรุ่ยไม่พูดเลยสักประโยค เพียงเท้าคางปรายตามองใบหน้าของคนแปลกหน้าที่อยู่ในจอทีละคนๆ อย่างไม่ใส่ใจ ในสายตาเขา คนพวกนี้ทุกคนล้วนเหมือนกัน มีสองตา หนึ่งจมูก หนึ่งปาก เหมือนกระดานไวท์บอร์ดที่เจาะรูห้ารู เรียบสนิทจนน่ากลัวและไร้รสชาติอย่างน่าสะพรึง
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนถูกนำไปรวมไว้ที่ห้องประชุมใหญ่ ด้านหน้าคือเวทีใหญ่ที่มีผ้าม่านผืนหนาปิดไว้ พวกเขาจับกลุ่มคุยกันกลุ่มละสองคนสามคน บ้างก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่วางเรียงไว้ด้วยอาการครุ่นคิด บ้างขยับมือเท้าร่ายรำ เต็มไปด้วยความโกลาหล โครงเหล็กเหนือศีรษะของพวกเขามีกล้องหลายร้อยตัวคอยถ่ายทุกอากัปกิริยาของพวกเขาจากทุกมุม
พิธีกรภาคสนามเลือกเอาผู้เข้าแข่งขันที่เข้าตาสองสามคนมาสัมภาษณ์ ผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งในนั้นสูดกลิ่นแล้วบอก “ผมได้กลิ่นของพวกเขา และบอกได้ว่าพวกเขาเก่งแค่ไหน”
“งั้นคุณรู้สึกว่าผู้สื่อวิญญาณที่เก่งที่สุดคือคนไหนเหรอคะ” พิธีกรถาม
ดูมาถึงตรงนี้ ดวงตาที่หลุบลงของซ่งรุ่ยพลันช้อนขึ้น นัยน์ตาลึกล้ำมองตามการเคลื่อนไหวของกล้อง แต่กลับไม่พบใบหน้าที่มีเอกลักษณ์ที่เขาคิดถึง
ตากล้องถ่ายใบหน้าสูงวัยของใครคนหนึ่งตามที่ผู้เข้าแข่งขันชี้บอก จากนั้นก็คอมเมนต์อย่างมั่นอกมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า “เขาครับ ผู้ชายวัยกลางคนที่สวมชุดฉางเผา สีดำที่นั่งอยู่ตรงมุม กลิ่นของเขามีพลังงานรุนแรง เขาเก่งมาก!”
ชายวัยกลางคนยังคงนั่งหลับตา ไม่สนใจความวุ่นวายรอบตัว ท่าทางราวกับผู้สูงส่งจริงๆ
พิธีกรถามอีก “นอกจากเขาแล้ว คุณยังมองใครไว้อีกคะ”
ผู้เข้าแข่งขันกวาดตามองไปรอบๆ แล้วชี้ไปที่คนอีกสามคนด้วยท่าทางลังเล “เธอ เขา แล้วก็เธอ มีพลังค่อนข้างเยอะ ขนาดอยู่ห่างกันไกล ผมยังได้กลิ่น”
ตากล้องมองหาคนเก่งทั้งสามที่ถูกกล่าวถึง คนแรกเป็นสาวน้อยที่กำลังเอนตัวอยู่ในอ้อมกอดของแม่ด้วยใบหน้าซีดเผือด เหมือนไม่ค่อยสบาย คนที่สองเป็นคนหนุ่มสวมชุดนักพรตซึ่งกำลังคุยกับคนข้างตัวด้วยรอยยิ้ม เหมือนจะเป็นคนสดใสมาก คนที่สามเป็นหญิงสาวสวยเด่น รูปร่างสูงโปร่ง เธอกำลังเอามือกอดอก กวาดตามองไปรอบๆ อย่างเยือกเย็น ท่าทางทรงพลังมาก
พิธีกรยังอยากสร้างโมเมนต์มากกว่านี้เลยยื่นคอไปมองหา สุดท้ายก็ชี้ไปที่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในมุมมืดแล้วเอ่ยถาม “เขาล่ะคะ คุณว่าความสามารถของเขามีแค่ไหน คุณได้กลิ่นของเขาหรือเปล่า”
“เขาเหรอ” ผู้เข้าแข่งขันมองตามนิ้วของพิธีกรภาคสนามไป ปากที่เคยพูดแจ้วๆ คล้ายกับติดอะไรขึ้นมากะทันหันเพราะคนที่นั่งอยู่ในมุม ตอนยังไม่เห็นยังพอว่า แต่ทันทีที่เห็น เขาเหมือนจันทร์สกาวในคืนมืดกำลังฉายแสงสว่างไสว ผิวของเขาดูขาวจนโปร่งแสงเพราะเนื้อผ้าสีดำสนิท ขาวจนเปล่งประกาย ขาวจนเหมือนหยกชั้นดีที่สุด ทว่าดวงตาของเขากลับดำสนิท ดำทึบทึมจนเหมือนเหวลึกที่มองไม่เห็นก้น เขาก้มศีรษะเล็กน้อย แผ่นหลังหยัดตรง สองมือประสานอยู่ใต้คาง เหมือนต้นสนที่เฝ้ารออยู่บนหน้าผาอย่างเงียบๆ ไร้ความกระวนกระวาย ไม่มีอาการลุกลี้ลุกลน และยิ่งไม่มีการกวาดมองไปรอบๆ
ดวงตาของเขาเหมือนโลกที่ปิดมิดใบหนึ่ง ทำให้ผู้คนที่รายล้อมอยู่ต้องถอยห่างอย่างไม่ทันรู้สึกตัว
ผู้เข้าแข่งขันที่อาศัยการดมกลิ่นในการสื่อวิญญาณคนนั้นพูดเสียงตะกุกตะกัก “เขา เขามาผิดที่หรือเปล่า พวกเราอยู่ในรายการโลกของผู้วิเศษ ไม่ใช่ไอดอล 101 นี่ เอ๋? หน้าเขาคุ้นจัง ดาราที่ไหนหรือเปล่านะ”
พิธีกรภาคสนามไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม “คุณได้กลิ่นของเขาหรือเปล่าคะ เขาเก่งมั้ย”
ผู้เข้าแข่งขันลืมข้อสงสัยก่อนหน้านี้ทันที เขาสั่นศีรษะ “ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้กลิ่นเลยสักนิด เขาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง”
“จริงเหรอคะ งั้นฉันจะบอกคุณให้นะคะว่าเขาคือฟั่นจยาหลัว ดาราที่เป็นร่างทรงวิญญาณซึ่งเป็นที่ฮือฮาอยู่ในอินเตอร์เน็ตก่อนหน้านี้ ว่ากันว่าคำเตือนเรื่องตายของเกาอี้เจ๋อเป็นคำทำนายของเขา” พิธีกรภาคสนามเฉลยคำตอบ
ผู้เข้าแข่งขันเลยถึงบางอ้อ เขาเกาท้ายทอยอย่างทึ่มๆ “เป็นดาราจริงด้วย! มิน่าถึงได้ดูดีขนาดนี้!”
จังหวะนี้เอง ตากล้องหลายคนแช่ภาพอยู่ที่ใบหน้าของฟั่นจยาหลัว ชายหนุ่มที่กำลังเฝ้ารออย่างสงบเหมือนรำคาญใจกับการถูกแอบมองแบบนี้มาก จึงเงยหน้าขึ้นมาแบบปุบปับและมองมา สายตาที่ผสมผสานกันระหว่างความสว่างและความมืด ความแหลมและความคมของเขาเหมือนมีดคมที่แทงทะลุจอที่กั้นกลางมากระแทกตาของเหล่ากรรมการ ทำให้พวกเขาเผลออุทานออกมา
หลายคนที่เมื่อวินาทีก่อนยังไม่เห็นด้วยกับการมาออกรายการของฟั่นจยาหลัว บัดนี้กลับมีความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย คล้ายกับวิญญาณถูกยึดโยงไว้อย่างแน่นหนา
ซ่งรุ่ยเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว เขาจึงไม่เสียกิริยา ทว่าลมหายใจกลับสะดุดไปหนึ่งวินาที เขาจ้องชายหนุ่มที่อยู่บนหน้าจอแล้วต้องอึ้ง เมื่อพบว่าอีกฝ่ายมองกล้องมา สายตาเหมือนทะลุมาจ้องมองตน ริมฝีปากแดงขยับเล็กน้อย พูดอย่างไร้เสียงว่า ‘เราเจอกันอีกแล้ว’
‘…ผมกำลังตั้งตารอการพบกันครั้งต่อไปของเรา’ ท่ามกลางความรู้สึกหวั่นหวาดอย่างรุนแรง ซ่งรุ่ยพลันนึกถึงคำพูดประโยคนี้ของชายหนุ่ม เขายกมือขึ้นปิดหน้าเพื่อซ่อนมุมปากที่ยกขึ้น
ที่แท้อีกฝ่ายก็รู้อยู่แล้วว่าทั้งคู่จะได้กลับมาพบกันในครั้งนี้
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 17 พ.ย. 64