everY
ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3 บทที่ 96 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 96 นี่มันสัตว์ประหลาดหนึ่งตัว
ตอนเที่ยงคืนกว่า หัวหน้าหน่วยพิสูจน์หลักฐานได้นำรายงานการพิสูจน์ดีเอ็นเอพุ่งเข้าไปในสำนักงานของหน่วยสืบสวนอาชญากรรมทีมหนึ่ง ดวงตาอันวาววับกว่าปกติฉายแววตื่นเต้นอย่างที่สุด “ผลการพิสูจน์ออกมาแล้ว!”
บรรดาลูกทีมที่นอนเกลื่อนอยู่บนพื้น โต๊ะทำงาน เก้าอี้ และโซฟารีบตะกายลุกกันขึ้นมามองจ้องเขา
“นี่ของผู้ต้องสงสัย!” หัวหน้าหน่วยพิสูจน์หลักฐานฟาดรายงานลงบนโต๊ะ น้ำเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “แขนที่ขาดนั่นเป็นของเขา! เสี่ยวหลี่ วันนี้ตอนนายไปเก็บตัวอย่างเจออะไรผิดปกติหรือเปล่า บนตัวเขายังมีมืออยู่มั้ย”
เสี่ยวหลี่พยักหน้าเร็วๆ “มีครับ ต้องมีแน่นอน เหมือนมือพวกเราปกติเลย ไม่งั้นเขาจะทำงานได้ไง เขาเป็นผู้ช่วยเชฟ รับผิดชอบเรื่องการหั่นผักโดยเฉพาะ”
หัวหน้าหน่วยพิสูจน์หลักฐานผงกศีรษะ “แบบนี้คือใช่เลย เรายังพบอีกว่าของมีคมที่ใช้ตัดมือคู่นี้คือมีดสับกระดูก ฝีมือเนี้ยบเลือดออกน้อยมาก เป็นระดับมืออาชีพ ซึ่งตรงกับอาชีพของผู้ต้องสงสัยพอดี มือสองข้างนี้เขาน่าจะเป็นคนตัดแล้วเอาไปซ่อนไว้ใต้เศษอาหารในถังขยะของร้านอาหารสี่มงคล ก่อนถูกโรงกำจัดขยะลวี่อี้เก็บไป”
“เฮือก!” ผู้อำนวยการที่พอได้ยินข่าวก็สูดลมหายใจเสียงดัง ซุนเจิ้งชี่กับหูเหวินเหวินยืนอยู่ด้านหลังเขาด้วยใบหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษ ความจริงจากหน่วยพิสูจน์หลักฐานที่วางอยู่ต่อหน้าทำให้พวกเขาจำเป็นต้องเชื่อ
ทุกคนจดจ้องรายงานการพิสูจน์หลักฐานด้วยสีหน้าแข็งทื่อ แววตาสับสนมึนงง ราวกับกำลังมองของน่ากลัวบางอย่าง
ผู้อำนวยการที่มีวัยวุฒิสูงสุดได้สติก่อน สั่งเสียงเฉียบ “ยังจะเหม่ออะไรกัน ไปจับคนสิ!”
“เอ่อ จริงด้วย มีหลักฐานแล้ว เราต้องดำเนินการจับกุม! รีบแต่งตัวเตรียมพร้อม!” หลิวเทารีบเก็บเสื่อมือไม้เป็นระวิง ส่วนคนอื่นๆ ต่างแยกย้ายกันไป
อันที่จริงการจับหัวขโมยไม่ใช่เรื่องยาก ความยากอยู่ที่การหาหลักฐาน เพราะที่ผ่านมาพอพวกหัวขโมยลักของไปแล้วจะมีช่องทางในการจัดการของที่เป็นความลับสุดยอด แทบไม่ทิ้งเบาะแสอะไรไว้ ซ้ำหัวขโมยที่มีประสบการณ์สูงยังรู้ด้วยว่าจะหลบหลีกกล้องวงจรปิดอย่างไร ทำให้หลักฐานการทำผิดที่ทิ้งไว้ยิ่งน้อยลง ต่อให้ขึ้นศาลก็ไม่มีความผิดให้กล่าวหา
ด้วยเหตุนี้ ในแวดวงตำรวจจึงถือว่าการจับหัวขโมยเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง สิ่งที่เน้นคือการจับให้ได้ทั้งคนและของ อย่ามองว่าเวลาจับ มีตำรวจกรูกันเข้าไปเยอะๆ แล้วดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ความจริง เพื่อช่วงเวลานี้ ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องตามรอยและแอบถ่ายภาพหัวขโมยรายนี้มานานแค่ไหน นั่นต่างหากที่เป็นกระบวนการที่ยากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะคาดถึง
เวลานี้ คดีนี้ยังจับไม่ได้ทั้งคนทั้งของ ทั้งยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน แต่แค่ยื่นฟ้องฐานทิ้งอวัยวะมนุษย์ก็มีความผิดมากพอที่จะส่งผู้ต้องหาเข้าคุกได้แล้ว ต่อให้อวัยวะชิ้นนั้นเป็นของตัวเขาเองก็ตาม
ขณะที่ทุกคนรีบร้อนออกเดินทาง เลี่ยวฟางกลับหยิบมือถือออกมาต่อสาย ผู้อำนวยการเห็นท่าทางโอ้เอ้ของเธอก็ตวาด “เสี่ยวเลี่ยว มัวทำอะไรอยู่ นี่มันเวลาอะไรยังจะมัวโทรศัพท์อยู่ได้ เธอทำแบบนี้มันผิดกฎนะ! เกิดข้อมูลรั่วไหล ฉันจะเอาเรื่องเธอคนแรก!”
เลี่ยวฟางรีบปิดไมค์ อธิบาย “ผู้อำนวยการคะ ฉันกำลังโทรหาคุณฟั่น เขาบอกว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้อันตรายมาก ให้โทรบอกเขาก่อนดำเนินการจับกุม”
สีหน้าดุดันของผู้อำนวยการเปลี่ยนเป็นอ่อนลงในชั่วพริบตา เขาเปลี่ยนเป็นพูดด้วยความเร็วกว่าปกติ “เหรอ งั้นเธอโทรเลย ถามเขาด้วยนะว่าผู้ต้องสงสัยอันตรายแค่ไหน ต้องเตรียมตัวยังไง”
เลี่ยวฟางผงกศีรษะพลางเดินไปตรงมุมเงียบๆ ทุกคนหยุดงานเพื่อจ้องมองเธอด้วยตาเป็นประกาย
ไม่นาน น้ำเสียงมีเสน่ห์อย่างที่สุดของใครคนหนึ่งก็ดังมาจากลำโพง เสียงนั้นทอดเอื่อยอย่างเกียจคร้านแบบคนเพิ่งตื่นนอน “พวกคุณเตรียมดำเนินการจับกุมแล้วหรือครับ”
“ใช่ค่ะ พวกเราเตรียมดำเนินการจับกุมแล้ว คุณฟั่นคะ ที่โทรมารบกวนคุณตอนดึกแบบนี้ต้องขออภัยจริงๆ แต่ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าเขาอันตรายมาก ฉันเลยอยากถามว่าเขาอันตรายแค่ไหน เขายังใช่มนุษย์หรือเปล่าคะ”
เสียงน้ำจ๋อมแจ๋มดังมา ผ่านไปสามสี่วินาทีฟั่นจยาหลัวจึงพูดอีกครั้งว่า “พวกคุณเอาอาวุธไปเท่าที่ขนกันไหว พาคนไปให้เยอะหน่อย ดีที่สุดคือใส่เสื้อเกราะด้วย การจับเขาไม่ใช่เรื่องง่าย แน่นอนว่าเขาเป็นมนุษย์…”
“เขาเป็นมนุษย์จริงหรือคะ” เลี่ยวฟางรู้สึกเอะใจกับประโยคนี้มาก
“ครับ เขาเป็นพวกเดียวกับพวกคุณ แต่เขาถูกความโลภบงการจนกลายเป็นทาสของความโลภ ทำให้สูญเสียตัวตนเดิมไป คุณส่งที่อยู่ของเขามาให้ผมด้วย ผมจะไปร่วมกับพวกคุณ” ฟั่นจยาหลัวออกคำสั่งอย่างเป็นเหตุเป็นผลก่อนตัดสาย
เลี่ยวฟางส่งที่อยู่ไปอย่างไม่ต้องหยุดคิด เสร็จแล้วเธอก็อุทาน “ไอ้หยา แย่แล้ว ทำไมฉันบื้อขนาดนี้นะ”
“เธอบื้ออะไร ฟั่นจยาหลัวว่าไง สรุปผู้ต้องสงสัยเป็นตัวอะไร” ผู้อำนวยการเป็นตัวแทนของทุกคนในการถามคำถามที่มีความเร่งด่วนมากที่สุด
“ฉัน ฉันแชร์ที่อยู่ของผู้ต้องสงสัยออกไป คุณฟั่นบอกว่าเขาจะไปด้วย แบบนี้จะทำยังไงดีคะ การจับกุมมันอันตรายมาก!” เลี่ยวฟางพูด หน้าตาเหมือนจะร้องไห้ “เขาบอกให้พวกเราเอาอาวุธไปเท่าที่ขนกันไหว ดีที่สุดคือใส่เสื้อเกราะ เพราะผู้ต้องสงสัยอันตรายมาก…”
“เขาอยากไปก็ไปสิ พวกเราให้เขาคอยในรถก็ได้ เธอยังไม่ได้บอกเลยว่าตกลงผู้ต้องสงสัยเป็นตัวอะไรกันแน่” หลิวเทาร้อนใจจนต้องเกาหูเกาแก้ม ความรู้สึกของทุกคนในขณะนี้ก็ไม่ได้ต่างจากเขามาก ลูกทีมทุกคนต่างหันมามองเลี่ยวฟาง ดวงตาของแต่ละคนฉายแววกระวนกระวายใจ
“คุณฟั่นบอกว่าเขาเป็นพวกเดียวกับเรา แต่ถูกความโลภบงการจนกลายเป็นทาสของความโลภ ทำให้สูญเสียตัวตนเดิมไป” เลี่ยวฟางเก็บมือถือ น้ำเสียงเร่งร้อน “ทำงานๆ เลิกถามได้แล้ว ต่อให้ถามอีก ฉันก็ไม่รู้ คุณฟั่นพูดแค่นี้ พวกนายเอาปืนไปกันหรือเปล่า ใส่เสื้อเกราะกันหรือยัง”
ทุกคนเห็นว่าต่อให้ถามไปก็ไม่ได้อะไรเลยรีบวิ่งไปหยิบของที่คลังเก็บอุปกรณ์ ผู้อำนวยการห่วงความปลอดภัยของพวกเขาเลยอนุมัติให้เป็นกรณีพิเศษ “ฉันจำได้ว่าก่อนหน้านี้มีอุปกรณ์เซฟตี้สำหรับระเบิดแบบใหม่มาล็อตหนึ่ง พวกนายเอาไปด้วยชุดนึงสิ เผื่อๆ ไว้”
หลังจากยุ่งวุ่นวายกันอยู่พักหนึ่ง ทุกคนที่ติดอาวุธเต็มอัตราศึกก็ขึ้นไปนั่งบนรถตำรวจซึ่งแล่นฉิวออกไปเป็นขบวน ชาวบ้านตามทางเห็นแล้วเข้าใจว่าพวกตำรวจกำลังยกขบวนไปทลายรังยาเสพติดขนาดใหญ่ที่ไหน ไม่ใช่แค่จับหัวขโมยคนเดียว
จนใกล้ถึงคอนโดฯ ของผู้ต้องสงสัย ขบวนรถตำรวจก็ปิดไซเรน บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ ฟั่นจยาหลัวมาคอยอยู่ที่ใต้คอนโดฯ ของผู้ต้องสงสัยนานแล้ว เขายืนอยู่ตรงบันไดมืดๆ ที่หลอดไฟเสียมานาน แสงจากไฟริมทางสะท้อนกำแพงสีขาวไปจับตัวเขา ทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนดวงดาวแสงอ่อนดวงหนึ่ง ดูเป็นเงาตะคุ่ม มลังเมลือง แต่กลับดึงดูดสายตาของผู้คนที่อยู่ในความมืดเหมือนกัน
เลี่ยวฟางยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นเขาก่อนแล้ว ทำให้อารมณ์กระวนกระวายของเธอสงบลง ฟั่นจยาหลัวอยู่ด้วย ดีจริง!
ฟั่นจยาหลัวยกนิ้วชี้เรียวยาวขึ้นมาแตะริมฝีปากสีแดงสดของตัวเอง
เลี่ยวฟางรีบหุบปากฉับ หยิบกุญแจรถดอกหนึ่งส่งให้เขาก่อนชี้ไปที่รถตำรวจซึ่งห่างออกไปไม่ไกล จากนั้นเธอชี้ที่ตัวเองกับพรรคพวก สุดท้ายค่อยชี้ขึ้นไปบนตึก
ฟั่นจยาหลัวผงกศีรษะ รับกุญแจรถ หมุนตัวเดินไปที่รถตำรวจ
เลี่ยวฟางค่อยโล่งใจขึ้นมา เธอให้ผู้ดูแลคอนโดฯ เดินนำหน้าเพื่อขึ้นไปยังชั้นเจ็ดเงียบๆ ที่นี่เป็นคอนโดฯ เก่าโทรม ลิฟต์ที่มีก็เสียไปนานแล้ว มีคนเข้าออกวุ่นวาย ด้านสุขอนามัยและสภาพแวดล้อมเลยแย่เป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้ค่าเช่าจึงถูกมาก พอตกค่ำ ในตึกมักมีเสียงทะเลาะเบาะแว้ง ตบตี ด่าทอกันเป็นประจำ ความผิดหวังต่อชีวิตมักถูกระบายออกมาด้วยวิธีนี้
ผู้ดูแลเคาะประตูห้องผู้ต้องสงสัย ไม่มีการตอบรับจากด้านใน แต่ไฟสว่าง มีเสียงโทรทัศน์ดังแว่วออกมา
ผู้ดูแลมองตำรวจที่หลบอยู่สองข้างโถงทางเดินด้วยสีหน้าสับสน
เลี่ยวฟางทำท่าปลอบใจ ย่อตัวลงแล้วลงมือเคาะประตูแทน ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ เคาะอยู่นานประมาณหนึ่งนาที
ในที่สุดคนที่อยู่ด้านในก็ทนไม่ไหว เปิดปากด่า “จะเคาะอะไรนักหนา แม่เอ็งตายหรือไง ใครวะ”
ผู้ดูแลยืนตรงกับตาแมวที่ประตู ฝืนทำท่ากร่าง “วันนี้คุณทิ้งก้นบุหรี่ลงจากตึกหรือเปล่า ข้างล่างเป็นระเบียงที่ตากผ้า คุณรู้มั้ยว่าก้นบุหรี่มวนเดียวของคุณอาจทำให้เกิดไฟไหม้ได้ คุณทำแบบนี้ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง แต่ทำทุกวัน! ทุกคนเขาทนคุณไม่ไหวแล้ว วันนี้ฉันเลยมาแจ้งว่าคุณคงอยู่คอนโดฯ เราต่อไม่ได้ พรุ่งนี้ให้ย้ายออกไปซะ!”
“นังแม่บ้านหน้าเหม็น พูดอะไรวะ” ผู้ต้องสงสัยที่ยังคงมีท่าทีระแวดระวังเต็มที่เปิดประตูผางออกมาทันที เขาถามด้วยน้ำเสียงฉุนขาด “กูจ่ายค่าเช่าตรงเวลาทุกเดือน มึงมีสิทธิ์อะไรมาไล่กู ไอ้คนไหนแม่งกล้าฟ้องว่ากู…”
พริบตานี้เอง หลิวเทาพลันโผล่พรวดออกมาจากมุมอับสายตา เขาผลักผู้ดูแลออกไป ขาข้างหนึ่งถีบผู้ต้องสงสัยเข้าไปในห้อง ยกปืนขึ้นตวาดลั่น “อย่าขยับ!”
เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายกรูกันเข้าไป เตรียมดำเนินการจับกุมผู้ต้องสงสัย
ผู้ต้องสงสัยเบิกตามองปืนสีดำมะเมื่อมอย่างตื่นตะลึง เขาไม่ได้ตกใจจนตัวแข็ง ตรงกันข้ามกลับพุ่งเข้าใส่หลิวเทาทันที หลิวเทาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นนั้นจึงถูกกระแทกจนตัวเซ อีกทั้งรอบตัวล้วนมีแต่พวกตำรวจ ทำให้หลิวเทาไม่กล้าเหนี่ยวไก เพราะถ้าไม่ระวังแล้วยิงโดนคนไหนเข้า ต่อให้ตายเป็นหมื่นครั้งก็ชดใช้ไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าความคิดของทุกคนเป็นไปในทางเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ ต่อให้ทุกคนมีปืนแต่ก็เหมือนเป็นแค่เครื่องประดับ ทำได้เพียงหลบกระบอกปืนของหลิวเทาไปสกัดผู้ต้องสงสัย คนที่ไวที่สุดกลายเป็นซุนเจิ้งชี่ เขามีรูปร่างราววัวสูงม้าใหญ่ แขนขายาว แค่วิ่งไม่กี่ก้าวก็ตามผู้ต้องสงสัยที่วิ่งออกไปที่ระเบียงได้ทัน จับแขนสองข้างของอีกฝ่ายไพล่หลัง กดตัวติดผนัง
ลึกๆ เขารู้ว่าคนคนนี้แปลกมากเลยออกแรงเต็มที่ ใบหน้าของผู้ต้องสงสัยเกือบถูกเขากดให้จมเข้าไปในผนัง กระดูกที่มือทั้งสองข้างส่งเสียงดังกรอบแกรบคล้ายจะหลุดจากข้อต่อ
“รีบใส่กุญแจมือเขาเร็ว!” ซุนเจิ้งชี่ตะโกนเสียงดัง ทุกคนไม่กล้าชักช้า
หูเหวินเหวินรีบแกะกุญแจมือที่หลังเอวตัวเองออกมา แต่ในตอนนี้เอง ใต้รักแร้ด้านซ้ายของผู้ต้องสงสัยกลับมีแขนเล็กๆ สีดำเทาหนึ่งข้างพร้อมนิ้วห้านิ้วที่เหมือนกิ่งไม้แห้งๆ โผล่ออกมา มือนั้นกำมีดคมกริบเล่มหนึ่งแน่น แทงเข้าที่ท้องของซุนเจิ้งชี่ ซุนเจิ้งชี่รู้สึกเหมือนมีอะไรทิ่มเข้ามาแรงๆ ที่ท้อง ลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ แต่ไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
กลายเป็นหูเหวินเหวินที่ตกใจจนเหงื่อเย็นๆ แตกซิก เธอร้องกรี๊ด “ระวัง! เขามีมืออีกข้าง!”
ว่าไงนะ! ซุนเจิ้งชี่รีบก้มหน้า เห็นแขนสีดำเทาอีกข้างงอกออกมาจากใต้รักแร้ขวาของผู้ต้องสงสัย และพุ่งมาตะกายที่สองตาเขา เล็บสั้นแต่คมกริบเหมือนอาบยาพิษ เปล่งประกายสีดำหม่นๆ
สมองของซุนเจิ้งชี่ว่างเปล่า ไม่สามารถขบคิดเรื่องพิลึกพิลั่นแบบนี้ได้ โชคดีที่สิ่งที่เขาได้รับมาจากโรงเรียนตำรวจคือการฝึกที่โหดที่สุด ทำให้เขาสามารถหลบหลีกการโจมตีที่พุ่งเข้ามาแบบกะทันหันได้ ทว่าสถานการณ์ทำให้เขาจำเป็นต้องปล่อยมือที่ล็อกผู้ต้องสงสัยอยู่ออก
ผู้ต้องสงสัยสะบัดมือทั้งสี่ข้างให้เป็นอิสระ วิ่งห้อเต็มเหยียด แต่กลับเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายนายที่ซุ่มอยู่ในตึก เขาหมุนตัวเปลี่ยนทางแบบไม่ต้องหยุดคิด ทว่ากลับถูกพวกซุนเจิ้งชี่กับหลิวเทาที่มีรูปร่างราววัวสูงม้าใหญ่ขวางเอาไว้ เมื่อหน้าหลังไม่มีทางให้หนี สีหน้าของเขามีแต่ความดุดัน ไร้แววหวาดกลัว หมายจะสยายกรงเล็บสังหารเพื่อสร้างเส้นทางเลือด
จนถึงตอนนี้ ทุกคนถึงเพิ่งรู้ว่ามือทั้งสี่ข้างของเขาถือมีดอยู่สี่เล่ม แต่ละเล่มเปล่งประกายเยียบเย็น เห็นได้ชัดว่าผ่านการลับมาเป็นประจำ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่มีด แต่เป็นมือสองข้างที่งอกออกมาอย่างพิสดารราวกับกำเนิดมาจากนรกของเขาต่างหาก มันเรียวเล็กผอมแห้ง แต่กลับแข็งแรงเป็นพิเศษ โถงทางเดินที่แคบทำให้การวาดมีดของเขาไปโดนผนังอย่างเลี่ยงไม่ได้ มือธรรมดาสองข้างอาจมีอาการสั่น ชา ชะงัก แต่มือที่เป็นสีดำเทาเรียวผอมสองข้างกลับถลกเอาวอลล์เปเปอร์กับอิฐก่อผนังออกมา
“ออกไปห่างๆ หน่อย! คนข้างหลังหลบ! ฉันจะยิง!” เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดแบบนี้ หลิวเทาทำได้เพียงหยิบอาวุธออกมา
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนอยู่ในรัศมีการยิงรีบหลบเข้าไปตรงบันได มีเสียงปังๆ ดังตามมาอย่างรวดเร็วสองนัด หลิวเทายิงโดนขาสองข้างของผู้ต้องสงสัย
คนคนนี้เป็นคนกระดูกแข็งคนหนึ่ง ขนาดขาทั้งสองข้างถูกยิงหักแล้วยังไม่ร้อง มีเพียงเสียงมีดที่ตกลงพื้นดังเคร้งๆ ก่อนกลิ้งไปด้านข้าง แต่ในชั่วพริบตานี้เอง เสื้อยืดสีดำของเขาก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ภาพที่สั่นประสาทมากยิ่งกว่าได้เกิดขึ้น เมื่อข้างกระดูกซี่โครง เอว และท้องทั้งสองด้าน รวมไปถึงสองข้างของสะโพกและต้นขาเขา เกิดมีแขนเรียวสีดำเทาหลายสิบคู่งอกออกมา พวกมันต่างกวัดแกว่ง ฉีกทึ้ง ตะกุย คืบคลาน ทำให้คนดีๆ หนึ่งคนกลายเป็นตะขาบตัวโต อัปลักษณ์
พวกหลิวเทาตกใจจนอวัยวะภายในแทบฉีกขาด ภาพสยองนี้ได้เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขาจริงๆ ต่อให้พวกเขาจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองก็ตาม
หูเหวินเหวินตกใจจนสติหลุด ล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าบนพื้น ขาอ่อนจนยืนไม่อยู่
ตะขาบในร่างมนุษย์คนนั้นอาศัยแขนเรียวกว่าสิบข้างเลื้อยได้อย่างรวดเร็ว เขาไต่ผนังขึ้นไปบนเพดานโถงทางเดิน แขนเรียวมีเล็บที่คมกว่ามีดจิกลึกเข้าไปในอิฐก่อผนังส่งเสียงดังตึงตัง เศษอิฐปลิวกระจาย จินตนาการได้เลยว่าถ้าใครตกอยู่ในมือของเขาจะต้องถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ภายในพริบตา พลังสังหารของเขาอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน!
“รีบยิง อย่าปล่อยให้เขาหนีไปได้!” เมื่อเห็นผู้ต้องสงสัยกำลังไต่เข้าไปในห้องเช่าผ่านทางฝ้าเพดาน ซ้ำยังสามารถบิดเหล็กดัดได้อย่างง่ายดาย และเตรียมจะปีนลงจากตึก หลิวเทาก็ตะโกนออกมาทันที
เลี่ยวฟางรีบยกปืนเล็งไปที่ศีรษะของอีกฝ่าย ใช่แล้ว พวกเขาจะจับเป็นไม่ได้ พวกเขาต้องจับตายสัตว์ประหลาดตัวนี้!
แม้จะหวาดกลัวแต่หญิงสาวก็ยิงถูก ทว่าผู้ต้องสงสัยกลับเหมือนไม่รู้สึก ซ้ำยังหายออกไปจากระเบียงมืดๆ ที่เหล็กดัดถูกบิดงอจนผิดรูปนี้อย่างรวดเร็ว ดูเหมือนปืนจะทำอันตรายเขาได้ไม่มาก
หลิวเทาวิ่งไปดูก็เห็นเงาสีดำรูปมนุษย์ของใครคนหนึ่งไต่อยู่นอกตัวตึกสูงลิบ เหมือนกำลังเดินอยู่บนพื้นราบ เป็นภาพที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่าหนังไซไฟ
“ตามๆๆ อย่าปล่อยให้เขาหนีไปได้!” หลิวเทารู้ดีว่าการปล่อยคนคนนี้หนีไปจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าสยองแบบไหน ประชาชนจะตกอยู่ในความหวาดกลัวเพราะเรื่องนี้ สังคมจะปั่นป่วนโกลาหลเพราะเรื่องนี้ และสำนักย่อยเขตใต้จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่าง
ทุกคนรีบตามลงบันไดไป แต่กลับไม่สามารถไล่ตามแขนกว่าสิบข้างที่เลื้อยอย่างรวดเร็วนั่นได้ทัน ไม่มีใครสามารถจับสัตว์ประหลาดแบบนั้นได้ ไม่มี!
ความกลัว ความร้อนใจ ความลนลาน และความพ่ายแพ้เข้าเกาะกุมความรู้สึกของทุกคน พวกเขาวิ่งกันสุดชีวิต ตามกันสุดชีวิต ผ่านไปสามนาทีก็เห็นเงาตะขาบในร่างมนุษย์ ถึงแขนเรียวของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ร่างกายยังคงมีโครงสร้างแบบมนุษย์ ไม่ได้เป็นข้อเป็นปล้องเหมือนตะขาบ ด้วยเหตุนี้พอเจอมุมเลี้ยวเข้าก็เลยชน ส่งผลต่อความเร็วของเขาอย่างมหาศาล
“เขาวิ่งไปลานจอดรถแล้ว! เร็วๆๆ! รีบล้อมไว้!” ซุนเจิ้งชี่ตะโกนอย่างโมโห แต่กลับต้องคุกเข่าล้มลงกะทันหัน เมื่อภาพตรงหน้าทำให้เขาตะลึงงัน เนื่องจากฟั่นจยาหลัวที่นั่งอยู่ในรถตำรวจที่เปิดประตูทิ้งไว้หนึ่งคัน ในมือกำลังถือปืนหนึ่งกระบอก เล็งไปที่ตะขาบในร่างมนุษย์
“ไม่มีประโยชน์! กระสุนทำอะไรเขาไม่ได้! รีบหนี!” ซุนเจิ้งชี่รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อวิ่งไปข้างหน้า ไม่ว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นจะอันตรายแค่ไหน เขาก็ต้องขวางมัน เพราะการปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์คือหน้าที่ของเขา
ทว่าวินาทีต่อมา ชายหนุ่มกลับต้องคุกเข่าล้มลงอีกครั้ง พร้อมด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
เพราะจริงๆ แล้วสิ่งที่ฟั่นจยาหลัวถืออยู่ไม่ใช่ปืนธรรมดา แต่เป็นปืนยิงตาข่าย สิ่งที่ยิงออกมาไม่ใช่กระสุน แต่เป็นตาข่ายเหล็กหนึ่งผืน ทำให้สัตว์ประหลาดว่องไวตัวนั้นถูกจับในชั่วพริบตา คนอื่นวุ่นวายกันทั้งคืน แต่กลับสู้เขาที่เฝ้าตอรอกระต่าย แบบสบายๆ ไม่ได้ ราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ไม่ว่าจะมองเห็น มองไม่เห็น ผ่านเลยไปแล้ว อยู่ในปัจจุบัน หรืออนาคต ล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของเขา
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 3 ธ.ค. 64