everY
ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3 บทที่ 99 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 99 คุณฟั่นเป็นผู้ชายอบอุ่น
เพื่อจับกุมสัตว์ประหลาดตัวนั้น หน่วยปฏิบัติการหลักของสำนักย่อยเขตใต้เลยต้องยุ่งกันหนึ่งคืนเต็มๆ แล้วถึงได้ไปโรงพยาบาลเพื่อทำแผลของแต่ละคนแบบง่ายๆ ผู้ต้องหายังอยู่ในโรงพยาบาล สถานการณ์ยังไม่กระจ่าง มีเพียงผู้อำนวยการที่เฝ้าอยู่ด้านนั้น เลี่ยวฟางให้ทุกคนกลับไปเตรียมพร้อมที่สถานีก่อนกลับบ้านไปนอนกันสักตื่น
แต่ไม่มีคนไหนอยากกลับบ้าน เพราะพวกเขากระหายที่จะได้รู้ความจริง ถึงขั้นไม่สามารถไปทนรออยู่คนเดียวที่บ้านได้
“เราปูเสื่อนอนกันที่สำนักย่อยเถอะ คอยให้อาการของผู้ต้องหาดีขึ้นบ้าง เราจะได้ดำเนินการสอบสวนเขา” หลิวเทาถอดเสื้อแจ็กเก็ต พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าอย่างมาก
“จริง เรานอนกันที่นี่แหละ ไปๆๆ ไปห้องประชุม ที่นั่นมีโต๊ะยาวหลายตัว นอนสบายกว่า” ซุนเจิ้งชี่โอบไหล่หลิวเทาเหมือนพี่น้อง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยให้ความเคารพรุ่นพี่หัวเถิกคนนี้เลย คำพูดที่ว่า ‘ความผิดพลาดทำให้คนโตขึ้น’ เป็นเรื่องจริง ไม่มีผิด
“พี่เลี่ยว ตอนฉันเข้าเวรเอาผ้าห่มบางๆ มาสองผืน ฉันจะแบ่งให้พี่หนึ่งผืนนะคะ เราไปอยู่กันที่ห้องเอกสารดีกว่า” หูเหวินเหวินคล้องแขนเลี่ยวฟางอย่างสนิทสนม
“เอาสิ ถึงกลับไปฉันก็นอนไม่หลับเหมือนกัน ไปๆๆ เราสองคนไปนอนกัน” เลี่ยวฟางปล่อยให้หูเหวินเหวินลากไป การทะเลาะเบาะแว้ง แบ่งพรรคแบ่งพวก แย่งชิงกันทั้งในที่ลับและที่แจ้งพวกนั้นล้วนสลายหายไปหมด
ทุกคนกินมื้อเช้าด้วยกันแล้วแยกย้ายไปนอน พวกเขาหลับรวดเดียวตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย ผู้อำนวยการมาดูหลายครั้งแต่ไม่อยากปลุก ทำได้เพียงส่ายหน้า ยิ้มอย่างชื่นชม พอหกโมงครึ่ง เลี่ยวฟางก็สะดุ้งตื่นเพราะนาฬิกาปลุกที่ตัวเองตั้งไว้ เธอตะโกนปลุกทุกคน จากนั้นก็ไปหาผู้อำนวยการเพื่อถามเรื่องผู้ต้องหา
“อ๋อ ผู้ต้องหาน่ะเหรอ เขายังอยู่โรงพยาบาล” ผู้อำนวยการลูบหน้าผากอย่างเก้อๆ
“เขาเป็นยังไงบ้าง เมื่อไหร่จะสอบปากคำได้เหรอครับ” หลิวเทาถามอย่างใจร้อน
“ฉันไม่รู้ว่าผู้ต้องหาเป็นไง เพราะเขาไม่ให้เรารู้ พวกนายนั่งลงและฟังฉันพูดให้ดีๆ อย่าใจร้อน” ผู้อำนวยการรินน้ำชาส่งให้ทุกคนด้วยตัวเอง ยิ้มแห้งๆ แล้วเอ่ย “เวลานี้ คดีนี้ไม่ใช่หน้าที่ของเราแล้ว พวกนายก็อย่าถามในเรื่องที่ไม่ควรถามและอย่าพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดด้วย จริงสิ ฉันเอาบันทึกการจับกุมของพวกนายส่งให้เบื้องบน และลบคลิปที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว เรื่องเมื่อคืน พวกนายแค่ฝันร้ายกัน นอนตื่นหนึ่งแล้วก็ลืมไปซะนะ”
สิ่งที่ตอบกลับมาคือคำถามที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลของซุนเจิ้งชี่ “พวกเราแทบเอาชีวิตเข้าแลกกว่าจะจับสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้ คุณมีสิทธิ์อะไรไม่ให้เราทำคดีนี้ อาวังครับ คุณให้ผมเปิดใจเพื่อทำความเข้าใจในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้ ผมเปิดใจแล้ว เข้าใจแล้ว แต่พวกคุณกลับไม่ยอมรับเรา ไม่เข้าใจเรา เรามีสิทธิ์รู้ความจริงนะครับ เรามีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าตัวเองกำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกแบบไหน”
“ใช่ พวกนายมีสิทธิ์รู้ความจริง แต่เบื้องบนมีอำนาจ! เวลานี้เราจับผู้ต้องหาได้ แต่ไม่ว่าใครก็พบไม่ได้ แล้วฉันจะไปทำอะไรได้ ฉันก็เหมือนพวกนาย อยากรู้ความจริงมาก ตอนออกจากโรงพยาบาล ฉันแทบอยากพุ่งกลับไปถกกับพวกเขาหลายครั้ง แต่ฉันรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ ข่าวที่เบื้องบนต้องการปิด ต่อให้เป็นอธิบดีเป็นรัฐมนตรีไปถามก็ไม่ได้อะไร เรื่องที่พวกนายไม่ควรรู้ พวกเขาไม่มีทางให้รู้ ฉันแม่งโคตรอึดอัด แค่ตำแหน่งที่สูงกว่าหนึ่งขั้นยังกดคนให้ตายได้ นับประสาอะไรกับคนที่อยู่สูงมากกว่าหนึ่งขั้น ฉันยอมแล้ว พวกนายก็ต้องยอม ที่ฉันบอกให้ทำใจกว้างๆ คือรวมถึงสถานการณ์ในตอนนี้ด้วย ความจริงอยู่ในมือคนส่วนน้อยมาแต่ไหนแต่ไร เหตุผลนี้สักวันพวกนายจะเข้าใจ แยกย้ายเถอะ ฉันเองก็จนปัญญาเหมือนกัน!”
ผู้อำนวยการส่ายหน้ารัวๆ พลางถอนหายใจ หน้าตาเหมือนแก่ลงหลายปี
ซุนเจิ้งชี่ทำคอแข็งอยู่ตรงหน้าเขา ไม่พูดเลยสักประโยค แต่ขอบตากลับค่อยๆ แดงขึ้น
ผู้อำนวยการตบไหล่เขา ปลอบด้วยน้ำเสียงจริงใจ “กลับไปพักผ่อนก่อน อย่ามัวแต่ทรมานอยู่ที่นี่ ฉันเข้าใจความรู้สึกที่มาถึงหน้าประตูแล้วยิงประตูไม่ได้ว่ามันเป็นยังไง แต่ข้างหน้าเป็นแผ่นเหล็กที่เต็มไปด้วยหนาม นายเตะมันไม่ได้ ความจริงไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด ขั้นตอนต่างหากที่สำคัญ วันนี้พวกนายทำได้ดีมาก ฉันจะบันทึกไว้เป็นผลงานของพวกนาย สิ้นเดือนมีรางวัล!”
ซุนเจิ้งชี่ปัดมือเขาออก เดินเร็วๆ ไปที่ประตู หันหลังให้ผู้อำนวยการแล้วพูดเสียงสะอื้น “อาวังครับ ผมโตแล้วนะ ที่อาพูดอยู่ตอนนี้หลอกผมไม่ได้หรอก สำหรับตำรวจ ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าความจริง หน้าที่ของเราคือการทวงถามความจริง ความพยายามและสิ่งที่ทุ่มเทลงไปทั้งหมดก็เพื่อความจริง นั่นคือหน้าที่ของเรา คือสิ่งที่เราต้องเสาะหาไปตลอดชีวิต ถ้าตำรวจคนหนึ่งบอกว่าความจริงไม่สำคัญ เท่ากับดูถูกอาชีพของพวกเรา”
ประตูถูกเปิดผาง คนที่เดินตามเขาไปคือพวกหูเหวินเหวินและต้วนเสี่ยวโจว ขณะหลิวเทาชะโงกหน้าไปถามผู้อำนวยการที่ข้างหูว่า “ลบคลิปจริงหรือครับ”
“ลบสิ เบื้องบนส่งคนมาเช็กระบบเราเพื่อให้มั่นใจว่าเราไม่มีสำรองไว้” ผู้อำนวยการทำหน้าเหมือนกินมูล
“โอเคครับ พวกเราไปกัน” หลิวเทาโบกมือ คนของหน่วยสืบสวนอาชญากรรมทีมหนึ่งเลยเดินออกไป
ผู้อำนวยการมองน้ำชาเต็มโต๊ะที่ไม่มีใครแตะต้อง แล้วถอนหายใจยาวเหยียดอีกครั้ง
หลังกลับถึงส่วนสำนักงาน ซุนเจิ้งชี่เริ่มเก็บของเสียงดังปึงปัง หูเหวินเหวินพับผ้าห่มผืนบางสองผืนด้วยขอบตาแดงก่ำ ที่พวกเขาสู้ ที่พวกเขาทุ่มเทด้วยชีวิต ที่พวกเขาไม่หลับไม่นอน ไม่ใช่เพื่อความจริงหรอกหรือ สุดท้ายกลับมีคนมาบอกพวกเขาว่าความจริงไม่ใช่เรื่องสำคัญ และมันควรอยู่ในมือของคนจำนวนจำกัด แล้วจะนับตำรวจอย่างพวกเขาว่าเป็นอะไร จะนับประชาชนคนธรรมดาว่าเป็นอะไร ตกลงที่ที่พวกเขาอยู่มันคือโลกแบบไหน
ซุนเจิ้งชี่ถอดเครื่องแบบ สะกดกลั้นความเจ็บที่ท้องเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวต ใบหน้าปราศจากความอบอุ่น วันนี้เขาเกือบถูกแทงตาย แต่สิ่งที่เขาได้มาคือคำปลอบโยนที่หลอกลวงแบบสุดๆ หนึ่งประโยคกับรางวัลจำนวนน้อยนิด ความเชื่อมั่นและความพยายามที่จะหาคำตอบของเขาถูกคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าเผาจนเป็นจุณ
เขาเจ็บจนต้องสูดลมหายใจ พูดเสียงคล้ายสะอื้นว่า “เหวินเหวิน ผมเจ็บ”
หูเหวินเหวินกอดเขาจากด้านหลัง แนบหน้าที่มีน้ำตาลงบนแผ่นหลังของเขา งึมงำเสียงเบา “ฉันก็เจ็บ”
น้ำตาของซุนเจิ้งชี่ร่วงลงมาทันที “เหวินเหวิน ก่อนหน้านี้ผมเชื่อมาตลอดว่าสายตาของตัวเองกว้างไกลมาก แต่หลังจากเมื่อวาน ผมถึงเพิ่งรู้ว่าจริงๆ แล้วผมใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่มองไม่เห็นแสงสว่างเลย เข้าใจว่าสิ่งที่ตาเห็นคือโลกทั้งใบ ผมยังรู้สึกดีใจเพราะเรื่องนี้ แต่จู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งปรากฏตัว เขาชี้ที่เหนือหัวผมแล้วบอกว่าดูสิ บนนั้นยังมีโลกอีกหนึ่งใบ! พอผมมองขึ้นไปถึงได้รู้ว่าที่ที่ตัวเองอยู่เป็นแค่เหวลึกแห่งหนึ่ง เหนือเหวมีดินแดนที่สว่างกว่า กว้างกว่า ผมดีใจแทบบ้า พยายามหาเชือกหนึ่งเส้นมาปีน ปีนแล้วปีนอีก ปีนแล้วปีนอีก จนเกือบตาย ผมใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อสิ่งนี้ จนปีนถึงปากเหว ผมอยู่ห่างจากลำแสงแค่เอื้อมมือ แค่เอื้อมมือเท่านั้น แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งไปถึงก่อนผมหนึ่งก้าว คนพวกนั้นเคยอยู่ในเหวลึกเหมือนกัน แต่พวกเขากลับเอามีดหนึ่งเล่มมาตัดเชือกของผม”
ซุนเจิ้งชี่ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งยองๆ ร้องไห้เหมือนเด็ก “ถ้าผมไม่ปีนขึ้นไป ผมคงไม่มีวันได้รู้ว่าเหนือหัวเรายังมีโลกอีกหนึ่งใบ! ถ้าผมไม่ปีน ผมคงไม่มีวันได้รู้ว่าความรู้สึกของการตกลงไปหลังขึ้นมาถึงปากเหวแล้วมันขมขื่นแค่ไหน! หัวใจที่มันเต้นอยู่ในอกผม มันไม่ยอมอยู่เชื่องๆ ในความมืดอีกแล้ว มันกระหายแสงสว่าง คุณเข้าใจมั้ย มันกระหายแสงสว่าง มันกระหายความจริง!”
ซุนเจิ้งชี่กุมท้องที่เจ็บแปลบๆ พูดเสียงสะอื้น “เหวินเหวิน ผมคงต้องติดอยู่กับวันนี้ไปตลอดชีวิต เพราะไม่มีวันลืมสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้”
หูเหวินเหวินเข้าใจความรู้สึกของแฟนหนุ่มดี เพราะเธอก็เหมือนเขา และถูกผลักให้เข้าไปอยู่ในเหวลึกแห่งความไม่รู้จากปากทางของความจริงอย่างแรงเช่นกัน ความไม่รู้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แม้แต่สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็ไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือการที่มีคนมาเค้นความรู้สึกของคุณ แต่คุณกลับทำอะไรไม่ได้
ทั้งสองคนกอดกันร้องไห้เบาๆ สมาชิกคนอื่นต่างนั่งบนพื้นกันอย่างซึมๆ หน้านิ่งเหมือนท่อนไม้ ทว่าในใจเต็มไปด้วยความโกรธเคืองและไม่ยินยอม
เลี่ยวฟางวิ่งมาดูพวกเขาหลายครั้ง แต่ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร อันที่จริงคนของหน่วยสืบสวนอาชญากรรมทีมหนึ่งก็เสียใจมาก แต่พวกเขาทำงานกันมานาน บนโลกมีคดีที่คลี่คลายไม่ได้เยอะมากๆ ถ้าเก็บเอาทุกคดีมาใส่ใจ ใครจะไปทนไหว
“อันที่จริงมีคดีที่คลี่คลายไม่ได้อยู่เยอะมาก แต่คดีนี้ไม่เหมือนกัน เพราะไม่ใช่ว่าเราคลี่คลายมันไม่ได้ แต่เบื้องบนไม่ให้คลี่คลาย มันเลยทำให้เราอึดอัดใจมาก” หลิวเทาบ่นกับเลี่ยวฟาง
แต่เลี่ยวฟางกลับจ้องมือถือ แววตาเลื่อนลอย ผ่านไปสิบกว่านาที หญิงสาวพลันพูดขึ้นว่า “พี่หลิวคะ ถ้าฉันถามฟั่นจยาหลัวล่ะ”
“เขาจะบอกเราเหรอ เทพแบบพวกเขามักมีคำพูดติดปากประเภทว่า ‘ไม่ถามสิ่งที่ไม่ควรถาม’ ไม่ใช่เหรอ ถ้าบอกว่าเบื้องบนคือระบบราชการ แล้วพวกเขาก็คิดว่าตัวเองเป็นเทพไปแล้วจริงๆ ทั้งยังเห็นคนธรรมดาเป็นมดแมลง เป็นแค่มดแมลงก็ใช้ชีวิตของตัวเองไปน่ะดีแล้ว จะไปค้นหาโลกอะไร แบบนี้ไม่เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวเหรอ” หลิวเทาสั่นศีรษะ มองเรื่องนี้ไปในด้านลบ
“คุณฟั่นไม่เป็นแบบนั้นหรอก เขาเป็นคนที่วางตัวติดดินมาก เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเทพอะไร ฉันอยากลองดู ไม่งั้นคงนอนไม่หลับติดกันไปหลายเดือน” เลี่ยวฟางพูดพลางต่อสายมือถือ
หลิวเทาแกล้งทำเป็นไม่สน แต่จริงๆ หูผึ่ง คนอื่นๆ พากันมองมา
“คุณตำรวจเลี่ยว มีปัญหาเหรอครับ” เสียงของฟั่นจยาหลัวอบอุ่นอ่อนโยน
เลี่ยวฟางเผลอกลั้นหายใจ “คุณฟั่นคะ ฉันอยากรู้ว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นคืออะไร ทำไมเขาถึงกลายเป็นแบบนั้น” เธอผ่อนลมหายใจ เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณพอจะตอบฉันได้หรือเปล่าคะ”
หัวใจของเธอสั่นสะท้านเพราะคำถามสั้นๆ รู้สึกเหมือนคนธรรมดาที่แอบเข้าไปในสวนอีเดนแล้วกำลังเฝ้าคอยคำสั่งขับไล่ของเทพเจ้าด้วยอาการตัวลีบ
แต่คำตอบของฟั่นจยาหลัวกลับทำให้ขอบตาเธอแดงเรื่อทันที “ได้แน่นอนครับ”
“คุณว่ายังไงนะคะ” เลี่ยวฟางไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
“ผมบอกว่าได้ครับ คุณอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ” เสียงหัวเราะนุ่มๆ เบาๆ ของฟั่นจยาหลัวดังออกมาจากลำโพง เหมือนสายลมเย็นชื่นใจที่สุดในฤดูร้อน ช่วยพัดพาความรู้สึกด้านลบทั้งหมดให้หายไป
เลี่ยวฟางรีบกดปุ่มเปิดสปีกเกอร์โฟนมือไม้เป็นระวิง เธอตะโกน “คุณคอยเดี๋ยวนะคะ คอยก่อน ฉันขอหาที่เงียบๆ หน่อย” เธอพุ่งตัวไปกวักมือให้พวกหลิวเทาก่อนรีบวิ่งไปที่สำนักงานที่อยู่ถัดไปเพื่อกวักมือให้พวกซุนเจิ้งชี่กับหูเหวินเหวินที่กำลังร้องห่มร้องไห้อย่างเสียอกเสียใจกันอยู่
ทุกคนมีสีหน้าแปลกใจ
หลิวเทายื่นหน้าเข้ามาทางช่องประตู พูดเสียงเบาว่า “มาที่ห้องประชุม คุณฟั่นยินดีบอกความจริงเรา!”
ทุกคนตื่นตะลึง “!!!”
ความรู้สึกไม่อยากเชื่อระคนยินดีจนแทบคลั่งผสมผสานอยู่ในใจของทุกคน พวกเขารีบตะกายลุกขึ้น เฮโลกันเข้าไปในห้องประชุม ซุนเจิ้งชี่กับหูเหวินเหวินปาดน้ำตาลวกๆ แล้วรีบตามไป อารมณ์ของทุกคนตื่นเต้นมากแต่การแสดงออกกลับเบาเป็นพิเศษ พวกเขาลากเก้าอี้กันเงียบๆ เพื่อนั่งลง
เสียงหัวเราะเบาๆ ของฟั่นจยาหลัวดังมาจากลำโพง “พวกคุณพร้อมแล้วใช่มั้ยครับ” ฟ้องว่าเขารู้ว่าทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เลี่ยวฟางตอบเสียงเบา “ทุกคนพร้อมแล้วค่ะ” เธอแก้มแดงเรื่อ ในใจรู้สึกอบอุ่น ความใจดีและอ่อนโยนของคุณฟั่นน่าจะเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดบนโลก
“ถ้าพวกคุณอยากรู้ความจริง พวกคุณจำเป็นต้องรู้ก่อนว่าอะไรคือสัมผัสที่เจ็ด” ฟั่นจยาหลัวพูดเสียงเนิบ
“ฉันรู้ค่ะ สัมผัสที่เจ็ดเรียกอีกอย่างว่าตัวรู้ เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานเหนือธรรมชาติ” เลี่ยวฟางจำคำของ ดร. ซ่งได้ และเมื่อเปิดหน้าต่างบานนี้ออกไป ก็จะมองเห็นโลกที่มีแสงสีละลานตา
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ซุนเจิ้งชี่มาได้ยินเรื่องสัมผัสที่เจ็ด พลังเหนือธรรมชาติอะไรนี่ เขาจะต้องพ่นลมออกจมูกอย่างเหยียดๆ และเย้ยหยันชุดใหญ่ แต่ตอนนี้เขากลับรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจเต็มที่ ถึงขั้นหยิบมือถือมาเสิร์ชหาคำว่าตัวรู้ว่านิยามจริงๆ ของมันคืออะไร พวกหูเหวินเหวินก็สไลด์มือถือเพื่ออ่านทุกตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนเว็บไป่ตู้ไป่เคอ เหมือนกัน ตอนสอบ พวกเขายังไม่ตั้งใจกันขนาดนี้
“คนที่มีสัมผัสที่เจ็ดจะสามารถปลุกพลังพิเศษขึ้นมาได้ สิ่งที่พวกเขาคิดในใจจะกลายเป็นวัตถุ นี่คือการก้าวขาหนึ่งข้างเข้าไปในโลกอีกใบ บางคนที่สัมผัสที่เจ็ดยังไม่ตื่น แต่พวกเขาเผลอเก็บกุญแจซึ่งนำไปสู่โลกอีกใบได้ ทำให้พวกเขาข้ามไปได้แบบเงียบๆ ทว่าจิตใจของพวกเขาไม่สามารถควบคุมความปรารถนาที่มีต่อสิ่งที่จะกลายเป็นวัตถุ เลยทำให้มันกลายเป็นสัตว์ประหลาด”
ฟั่นจยาหลัวกลัวพวกเขาจะไม่เข้าใจ เลยอธิบายเพิ่มขึ้นอีก “มีนิทานเปรียบเทียบเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าพวกคุณเคยฟังกันมั้ย กลางหุบเขามีมังกรร้ายตัวหนึ่งคอยเฝ้าขุมสมบัติ ทุกปีจะมีอัศวินเดินทางไปสังหารมังกร แต่ไม่เคยมีใครรอดกลับมา ปีแล้วปีเล่ามังกรร้ายก็ยังคงอยู่ที่นั่น อัศวินตายไปคนแล้วคนเล่า ทำให้หนุ่มน้อยคนหนึ่งแปลกใจเลยแอบตามอัศวินเข้าไปในหุบเขา เขาเห็นศพของมังกรร้ายนอนจมกองเลือด ส่วนอัศวินที่ยืนอยู่บนกองมหาสมบัติคนนั้นก็ค่อยๆ มีเขามังกรงอกออกมา”
ฟั่นจยาหลัวหยุดนิ่งเล็กน้อย “คุณเอานิทานเรื่องนี้ไปสวมบนตัวผู้ต้องหาได้ มังกรร้ายคือความโลภในใจเขา ดาบที่สังหารมังกรคือกุญแจที่นำไปสู่โลกอีกใบหนึ่ง เขายืมกุญแจดอกนั้นมาเพื่อเป็นอัศวิน แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะความโลภได้ สุดท้ายก็กลายเป็นมังกรร้าย ตอนพวกคุณจับกุมผู้ต้องหา ผมเอากุญแจของเขามา ทำให้ตอนนี้เขากลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ผมคงต้องบอกพวกคุณด้วยความเสียใจอย่างมากว่าผู้ต้องหาน่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะการมีพลังที่ไม่สามารถควบคุมได้ เขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาสม”
เลี่ยวฟางตรึกตรองคำพูดนี้เงียบๆ เอ่ยถามเสียงเบาว่า “เพราะฉะนั้นเขาเป็นมนุษย์ แค่มีพลังเหนือธรรมชาติใช่หรือเปล่าคะ”
“จะพูดแบบนั้นก็ได้ครับ” ฟั่นจยาหลัวพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ความโลภเป็นดาบสองคม สามารถทำให้คุณเปลี่ยนเป็นดีขึ้น และทำให้คุณเดินไปสู่ความพินาศได้ ตราบใดที่คุณไม่อาจควบคุมความปรารถนาของตัวเองได้ ทางที่ดีที่สุดคือปล่อยให้มันอยู่ในมโนภาพดีกว่า หวังว่าคำตอบของผมจะทำให้พวกคุณรู้สึกดีขึ้นได้บ้างนะครับ”
เลี่ยวฟางพยักหน้ารัวๆ พูดด้วยน้ำเสียงตื้นตัน “ตอนนี้พวกเราดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ! ขอบคุณคุณฟั่น! คุณวางใจได้ เราจะไม่เจาะลึกเรื่องนี้อีก และจะไม่ปล่อยตัวไปตามความปรารถนาของตัวเอง”
ฟั่นจยาหลัวหัวเราะเบาๆ “Good girl”
สีหน้าซาบซึ้งจนจะร้องไห้ของเลี่ยวฟางเกิดแข็งค้างอยู่บนใบหน้า เธอพูดเสียงเบา “คุณฟั่นคะ ทำไมจู่ๆ คุณถึงพูดภาษาอังกฤษล่ะ มันดูแปลกๆ นะคะ! เหมือนภาษาอังกฤษไม่ค่อยเข้ากับคุณเลย”
“อ๋อ ช่วงนี้ผมกำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่น่ะครับ ก่อนหน้านี้ผมไม่มีโอกาสได้เรียนอะไรพวกนี้เลยรู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก อีกอย่างผมไปเจอคำคมในอินเตอร์เน็ต ดูเหมาะกับคนแบบผมเป็นพิเศษ”
“คำคมในอินเตอร์เน็ตอะไรหรือคะ”
“เรียนให้ดีแล้วจะหล่อเริด”
เลี่ยวฟางอดขำไม่ได้ เธอพูดชมอย่างจริงใจ “คุณฟั่นคะ ต่อให้เรียนได้ไม่ดี คุณก็หล่อเริดอยู่แล้วค่ะ”
“หล่อเกินมาตรฐานด้วยค่ะ!” หูเหวินเหวินพลันพุ่งตัวมาตะโกนใส่ตรงไมโครโฟน
ฟั่นจยาหลัวหัวเราะ บอกขอบคุณแล้ววางสายไป
แทนที่เสียงตื๊ดๆๆ ซึ่งดังออกมาจากลำโพงจะทำให้บรรยากาศหนักอึ้ง กลับเปลี่ยนเป็นทำให้ทุกคนยิ้มออกมาได้อย่างโล่งอก เข้าอกเข้าใจ เพราะการชี้นำของคนคนนี้ทำให้ความโกรธเคือง ไม่เต็มใจ ค้างคาใจ และเจ็บปวดของพวกเขาสลายไป สิ่งที่พวกเขาทุ่มเท ต่อสู้ ทำงานหนัก ล้วนได้รับสิ่งตอบแทนเมื่อพวกเขาได้ตระหนักถึงความจริง มองเห็นแสงสว่าง และไปแตะยังขอบของโลกอีกใบ! ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือผลลัพธ์ที่มีค่าที่สุดในวันนี้ของพวกเขา!
‘มีชีวิตอยู่ด้วยความเข้าใจ’ ประโยคนี้อ่านออกเสียงได้ง่าย ทว่าวิธีการฝึกฝนนั้นยากลำบาก แต่พวกเขาโชคดี เพราะได้เจอกับคนแบบนี้ คำชี้แนะของฟั่นจยาหลัวช่วยให้พวกเขามองเห็นทิศทางที่ถูกต้อง
เลี่ยวฟางเช็ดน้ำตาพลางบ่นพึมพำ “เอาล่ะๆ ทุกคนเก็บของ กลับบ้าน! วันนี้จะได้หลับสนิทกันสักที”
“ทุ่มนึงแล้ว เราดูรายการโลกของผู้วิเศษจบก่อนค่อยกลับเถอะ” หูเหวินเหวินหยิบมือถือออกมา
“ใช่ๆๆ ดูรายการโลกของผู้วิเศษให้จบก่อนค่อยกลับ เปิดโปรเจ็กเตอร์ดูเลย แจ่มกว่า!” ซุนเจิ้งชี่รีบไปเตรียมอุปกรณ์ในห้องประชุม ลืมไปแล้วว่าในตอนแรกตัวเองรังเกียจรายการนี้มากแค่ไหน
เพราะรู้ว่าฟั่นจยาหลัวคือร่างทรงวิญญาณตัวจริงเสียงจริง อารมณ์น่าตื่นตะลึงในอีพีสองจึงยากจะใช้คำมาบรรยาย
เห็นชาวเน็ตโพสต์ข้อความกันไม่หยุดว่าการกระทำของฟั่นจยาหลัวในอีพีหนึ่งเป็นแค่น้ำจิ้ม สคริปต์ในอีพีสองเขียนได้ลื่นไหลกว่าอีพีแรกมาก หูเหวินเหวินเช็ดน้ำตาพลางบอกว่า “ที่แท้นี่ก็เป็นความรู้สึกแบบที่ฉันรู้อยู่คนเดียว มันดีเหมือนกันนะเนี่ย พวกเขาไม่มีวันรู้หรอกว่าคุณฟั่นเป็นคนพิเศษแค่ไหน เขาอ่อนโยนกว่าที่แสดงออกทางหน้าจอ น่ารักมากๆๆๆ เลย!”
หูเหวินเหวินหยิบมือถือออกมาล็อกอินเข้าเวยป๋อเพื่อประกาศอย่างจริงจัง
‘นับจากวันนี้เป็นต้นไป ฉันคือแฟนพันธุ์แท้ของคุณฟั่น!’
พวกซุนเจิ้งชี่ไม่มีทางพูดความจริงว่าพวกเขาแอบกดติดตามบัญชีเวยป๋อของฟั่นจยาหลัวเอาไว้นานแล้ว เพราะการที่รายการวาไรตี้รายการหนึ่งทำให้พวกเขาอ่อนไหวจนร้องไห้ออกมาเหมือนสุนัขอย่างนี้ เป็นเรื่องน่าอายที่พวกเขาไม่มีทางแพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 10 ธ.ค. 64