everY
ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 7 บทที่ 263 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 7
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
อาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การฆ่าตัวตาย การใคร่เด็ก การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทารุณสัตว์ การลักพาตัว
การทรมาน การฆาตกรรมและแยกชิ้นส่วนร่
การสังหารหมู่ และฉากนองเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 263 เจอเพื่อนเก่าอีกครั้ง
นับตั้งแต่อาจารย์ฟั่นมาถึงศูนย์บัญชาการ หัวใจของหัวหน้าเหยียนก็พลิกคว่ำคะมำหงาย ลังเลไม่แน่ใจอย่างมาก ตอนแรกเขาเข้าใจว่าอาจารย์ฟั่นไม่มีทางสู้ปีศาจตนนั้นได้ แต่พอเห็นอีกฝ่ายถือโถใบเล็กเดินไปด้านข้าง หัวหน้าเหยียนก็เริ่มตระหนักได้ว่าที่อาจารย์ฟั่นบอกว่าสู้ไม่ได้หมายถึงพลังของตัวเองยังอ่อนด้อยอยู่เล็กน้อยเลยสู้ไม่ได้ แต่ยังมีวิธีอื่นที่ใช้จัดการได้
หัวหน้าเหยียนปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก ถามด้วยความกลัว “อาจารย์ฟั่นครับ ชีวิตนี้คุณไม่เคยพูดโกหกเลยใช่หรือเปล่า”
อันที่จริงเขาสังเกตเห็นมานานแล้วว่าอาจารย์ฟั่นระมัดระวังเรื่องคำพูดคำจาเป็นพิเศษ ทุกคำที่ออกจากปากอีกฝ่ายล้วนผ่านกระบวนความคิดเป็นร้อยเป็นพันรอบก่อนถูกพิสูจน์ด้วยกาลเวลาและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ถึงขั้นใช้มาตรฐานของพระอริยะมาสร้างข้อเรียกร้องต่อตัวเอง
ทว่าคำตอบของฟั่นจยาหลัวกลับทำให้หัวหน้าเหยียนตกใจ
เขาเปิดโถแล้วหยิบกระติกเก็บความร้อนแบบพกพาออกมาใบหนึ่ง ส่ายหน้า “ผมเคยพูดโกหก แถมยังเป็นการโกหกคำโตด้วย”
หัวหน้าเหยียนตกตะลึง “!!!”
เขาอยากรู้ใจจะขาด “โกหกคำโตแบบไหนหรือครับ”
ฟั่นจยาหลัวส่ายหน้าไม่ตอบ สายตามีแต่ความว่างเปล่าตกอยู่ในห้วงความทรงจำ แต่ชั่วพริบตาเดียวเขาก็ได้สติ เทของเหลวสีดำในกระติกเก็บความร้อนลงในโถกระเบื้องแล้วยื่นมือลงไปคน
ไม่มีใครเห็นว่าในโถกระเบื้องใส่อะไรไว้ แต่พวกเขาได้กลิ่นแปลกๆ มันเค็มคาวเหมือนเลือด มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนไม้จันทน์ แถมตอนท้ายยังมีกลิ่นหวานนิดๆ
คนอื่นอาจไม่รู้ว่ากลิ่นซับซ้อนนี้คืออะไร แต่หัวหน้าเหยียนที่มีลูกชายหญิงรู้ได้ทันที กลิ่นนี้มันเหมือนกลิ่นทารกแรกเกิดไม่ใช่เหรอ กลิ่นเลือดคือกลิ่นสาบที่ออกมาจากท้องแม่ กลิ่นหอมอ่อนๆ คือกลิ่นเนื้ออ่อนๆ ตอนเกิดใหม่ และกลิ่นหวานๆ คือกลิ่นเฉพาะของนม
ในโถนี้ใส่อะไรไว้ คงไม่ใช่ทารกหนึ่งคนหรอกใช่หรือเปล่า
หัวหน้าเหยียนยืดคอยาวเขย่งเท้า แต่กลับเห็นแค่ปากโถกับมือขาวราวหยกสลักของอาจารย์ฟั่น
แต่ไม่นานเขาก็ได้รับคำตอบ เมื่ออาจารย์ฟั่นกวนของในโถได้พอประมาณแล้วเริ่มหยิบจับออกมาปั้น มันเป็นโคลนสีดำสนิทเนื้อเนียนละเอียดเป็นพิเศษก้อนหนึ่ง ปลายนิ้วขาวผุดผาดเหมือนหยกของอาจารย์ฟั่นนวดคลึงเป็นก้อนกลมเล็กๆ วางเรียงอยู่ด้านหนึ่ง
เพียงชั่วอึดใจก้อนโคลนขนาดใหญ่หนึ่งก้อนก็ถูกมืองามประณีตคู่นั้นแบ่งออกเป็นก้อนกลมขนาดเล็กจำนวนหลายสิบก้อน แต่ละก้อนกลมกลึง ได้มาตรฐานยิ่งกว่าใช้เครื่องปั้น
หัวหน้าเหยียนน้ำเต็มสมอง แต่ไม่กล้าถามมาก คนอื่นๆ เองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันเลยได้แต่อยู่เงียบๆ
ฟั่นจยาหลัวเอาก้อนดินที่ปั้นเสร็จแล้วมาวางไว้ในมือ ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับจีบเบาๆ ให้มันเชื่อมต่อกันเป็นรูปน้ำเต้าจิ๋ว ก่อนใช้มีดเล่มบางคมกริบวาดเส้นโค้งเรียวยาวสองเส้นกับเส้นโค้งแบบยกปลายขึ้นสูงอีกหนึ่งเส้น
หัวหน้าเหยียนยื่นหน้าไปดูใกล้ๆ แล้วชมเปาะ อย่ามองว่าวิธีของอาจารย์ฟั่นดูง่ายๆ ผลงานที่ออกมานั้นทั้งประณีตและน่ารัก มีชีวิตชีวา เป็นตุ๊กตาดินน่าเอ็นดูเหมือนตุ๊กตาล้มลุก พวกมันหัวโต พุงกลม ตาเรียวยาวโค้ง มุมปากน้อยๆ ยกขึ้นสูง ท่าทางมีความสุขมาก
พอทำตุ๊กตาล้มลุกพวกนี้เสร็จ ฟั่นจยาหลัวก็เอาพวกมันออกไปนอกศูนย์บัญชาการ โปรยลงพื้นเบาๆ พูดเสียงเรียบ “ไปเถอะ”
อะไร ไปไหน ใบหน้าของหัวหน้าเหยียนที่เดินตามอาจารย์ฟั่นไปติดๆ เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ต่อมาเครื่องหมายคำถามพวกนี้ได้เปลี่ยนเป็นเครื่องหมายตกใจสีแดงสดอันใหญ่เบ้อเริ่ม
เพราะพอตุ๊กตาล้มลุกพวกนี้หล่นลงพื้นก็พากันหน้าทิ่มหงายหลังก่อนก้มหัวมุดหายลงไปในดิน พวกมันไม่มีมือ ไม่มีขา แต่ทุกตัวกลับวิ่งได้เร็วจี๋
“อาจารย์ฟั่นครับ พวกมันมีชีวิตเหรอ” ต่อให้เป็นหัวหน้าเหยียนที่เจอศึกใหญ่มาจนชินชาแล้วก็ยังอดตกใจไม่ได้
“เคยมีชีวิตครับ” ฟั่นจยาหลัวโยนประโยคที่ชวนขนพองสยองเกล้ามาให้แบบติดๆ “พวกมันเป็นลูกของเขา”
หัวหน้าเหยียนมองตามสายตาของอาจารย์ฟั่นกลับไปที่หน้าจอ บัดนี้ใบหน้าที่เคยทุเรศทุรังอย่างที่สุดนั้นได้เปลี่ยนเป็นงดงามกระชากวิญญาณฉายอยู่เต็มจอ
“ลูกเขามาอยู่ในมือคุณได้ยังไงครับ” หัวหน้าเหยียนทั้งสับสนทั้งตื่นตะลึง
“คุณยังจำคดีของซูเฟิงซีได้มั้ย” ฟั่นจยาหลัวพูดเตือนหนึ่งประโยค
หัวหน้าเหยียนเคยอ่านสำนวนคดีนั้น ย่อมต้องจำได้ชัดจึงผงกศีรษะ
“โถใบนั้นเราได้มาจากคฤหาสน์ของซูเฟิงซี ของที่อยู่ข้างในคืออัฐิของเด็กหลายคนซึ่งถูกผมรวบมาเป็นเจ้าพวกนี้หลายสิบตัว แม่ของเด็กคือซูเฟิงซี แล้วคุณลองเดาซิว่าพ่อของเด็กคือใคร”
หัวหน้าเหยียนอึ้งไปนานมากกว่าจะใช้ปลายนิ้วสั่นๆ ชี้ไปทางปีศาจบนจอ “เขาเหรอ”
“เขานั่นแหละ” ฟั่นจยาหลัวถอนหายใจ “ความปรารถนาที่จะได้เป็นที่รักของพ่อแม่เป็นธรรมชาติของเด็ก พวกเขาย่อมต้องไปหาพ่อ เราแค่นั่งรอกันก็พอ”
“เอ่อ…ครับ” หัวหน้าเหยียนเดินตามก้นอาจารย์ฟั่นเข้าไปในศูนย์บัญชาการ นึกถึงสภาพของจางเหวินเฉิงตอนที่ถูกกองทหารไล่ล่าในตอนต้น เขาผอมจนเหลือแต่โครงกระดูก ด้านนอกห่อหุ้มด้วยผิวหนังเหม็นโฉ่ดำสนิท ผมขาวบนกระหม่อมหร็อมแหร็ม มีชีวิตเหมือนศพแห้งที่เพิ่งขุดออกมาจากโลง
ตอนอยู่ในบ้านของตัวเองคนเดียวเขาย่อมต้องปล่อยตัวตามสบายที่สุด เป็นธรรมชาติที่สุด และเป็นจริงมากที่สุด สภาพอุบาทว์เหมือนศพแห้งนั่นน่าจะเป็นสภาพปกติของจางเหวินเฉิง คนธรรมดาเห็นเขาเป็นต้องตกใจจนตายไปครึ่งตัว แต่ซูเฟิงซีกลับมีเซ็กซ์กับเขาจนคลอดลูกออกมาได้มากมายขนาดนั้น เธอต้องมีความอดทนขนาดไหน
ยิ่งคิดหัวใจของหัวหน้าเหยียนก็ยิ่งชาวาบ หลังนั่งประจำที่ตัวของเขาก็สั่นเทิ้มโดยไม่รู้ตัว ไม่เข้าใจโลกของอมนุษย์เลยจริงๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังและความเป็นอมตะ ดูเหมือนพวกเขาจะทำเรื่องเลวร้ายที่สุดในโลกได้
“อาจารย์ฟั่น หัวหน้าเหยียนครับ ตอนนี้เราควรทำยังไงดี มีแผนต่อไปหรือเปล่าครับ” รองผู้บัญชาการคนหนึ่งนั่งไม่ติดที่ เนื่องจากกลัวว่าถ้าปีศาจตนนั้นฟื้นพลังแล้วจะหนีออกจากหุบเขาไป
“คอยก่อน ความผูกพันทางสายเลือดเป็นสิ่งที่ไม่มีวันตัดขาดได้” น้ำเสียงของฟั่นจยาหลัวเรียบสนิท
หัวหน้าเหยียนตัดสินใจขั้นสุดท้ายก่อนเอ่ย “คอยดูไปก่อน อย่าเพิ่งรีบ จริงสิ ทำไมคืนนี้คุณถึงอยู่คนเดียว ด็อกเตอร์ซ่งล่ะครับ”
ฟั่นจยาหลัว “…”
สองตาที่สงบนิ่งของเขาปรากฏระลอกคลื่นบางเบา ฟั่นจยาหลัวเงียบไปชั่วพริบตาหนึ่ง “เขาน่าจะยังนอนอยู่ที่บ้านตัวเอง ผมรีบมาเลยลืมบอก”
หัวหน้าเหยียนแปลกใจ “พวกคุณไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือครับ”
ฟั่นจยาหลัว “…”
เขาหลุบตาลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ผ่านไปสักพักก็ส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะแจ่มใสช่วยเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลายให้แก่รัตติกาลแห่งความโกลาหลที่เกิดจากความตายกับความเงียบเหงา สิ้นเสียงหัวเราะ ฟั่นจยาหลัวก็หยิบมือถือออกมาส่งเมสเสจไปยังเบอร์ที่คุ้นที่สุด
หัวหน้าเหยียนไม่กล้าละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย ทำได้เพียงเบนสายตากลับไปที่หน้าจอ แล้วก็พบว่าบนเนินเขาสีขาวโพลนที่เกิดจากซากกระดูกมนุษย์มีจุดเล็กๆ สีดำหลายจุดกระโดดเด้งดึ๋ง ตอนแรกเขานึกว่าตัวเองตาฝาด แต่พอขยายภาพให้ใหญ่ขึ้นอีกหลายเท่าถึงค่อยยืนยันได้ว่าจุดเล็กๆ พวกนั้นคือตุ๊กตาล้มลุกจำนวนหลายสิบตัวที่อาจารย์ฟั่นปล่อยออกไปก่อนหน้านี้
ตัวที่ทำจากดินของพวกมันดูแฉะๆ ละเอียด นุ่มนิ่ม ตอนเขย่งปีนขึ้นไปบนซากกระดูกมนุษย์เลยไม่มีเสียงเลยสักนิด
ปีศาจตนนั้นยังคงนั่งงีบอยู่บนยอดเขา ดวงตาสีแดงฉานถูกซ่อนไว้ใต้หนังตา เป็นภาพที่ดูสงบมาก
เหล่าตุ๊กตาเคลื่อนเข้าไปใกล้เป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆ หัวหน้าเหยียนไม่คิดว่าพวกมันจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ตุ๊กตาดินจะสู้ปีศาจที่ยิงฟันไม่เข้าได้อย่างไร อาจารย์ฟั่นตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ การเฝ้ารอแบบนี้จะได้ผลหรือ
หัวหน้าเหยียนลังเล เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ แต่จากการร่วมงานกันมาหลายต่อหลายครั้งทำให้เขามีความเชื่อมั่นในตัวอาจารย์ฟั่นอย่างไร้ข้อกังขาจึงไม่ได้แสดงความเห็นค้านออกไป
แต่รองผู้บัญชาการอีกสองสามคนทนไม่ไหว เค้นถามไม่หยุด “เรารออะไรอยู่ ก้อนดินหลายสิบก้อนนี่จะทำอะไรได้หรือครับ”
เพิ่งจะขาดคำของพวกเขา ก้อนดินหลายสิบก้อนพวกนั้นก็พุ่งเข้าใส่จางเหวินเฉิงที่หลับตาพักผ่อนอยู่ราวสายฟ้าฟาดที่รวดเร็วจนปิดหูกั้นเสียงไว้ไม่ทัน จางเหวินเฉิงลืมตาทันควัน กลิ้งถอยไปข้างหลัง แต่กลับถูกพวกก้อนดินที่จู่โจมมาจากทางด้านหลังกัดแน่น
ถูกต้อง กัดเหมือนเห็บกัดเนื้อคน เหมือนที่จางเหวินเฉิงกัดพวกวัวนม ยิ่งมีกลิ่นเลือด ต่อให้ตีให้ตายพวกมันก็ไม่ยอมปล่อย ตุ๊กตาดินพวกนี้อ้ามุมปากที่ยกสูงอยู่แล้วเผยให้เห็นฟันคมกริบสีขาวสองแถว แค่ชั่วพริบตาพวกมันก็กัดผิวหนังที่ระเบิดยังเจาะไม่ทะลุของจางเหวินเฉิงเป็นรูเล็กๆ มากมายแล้วบิดพุงกลมๆ เพื่อมุดเข้าไป
“พ่อจ๋าๆๆ…” พวกมันเรียก เสียงแบบเด็กน้อยอ่อนหวาน ฟังดูไร้เดียงสาน่ารัก
แต่พอเสียงนี้ไปเข้าหูจางเหวินเฉิงกลับไม่ต่างจากยันต์ปลิดชีพทำให้ใบหน้างดงามไร้ที่ติของเขาฉายแววตื่นตระหนก หวาดกลัวสุดขีด
ตอนนี้ตัวเขาที่เคยวางท่ายโสโอหังกลับหันรีหันขวางอย่างแตกตื่น ทำอะไรไม่ถูก จางเหวินเฉิงกวาดตามองไปรอบๆ ตัว เหมือนต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น รวมไปถึงโครงกระดูกทุกชิ้นที่นี่ได้เปลี่ยนเป็นคนที่เขาหวาดกลัวที่สุดคนนั้น
“ฟั่นจยาหลัว? ใช่เจ้าหรือไม่ ใช่เจ้าหรือเปล่า” เขาแตกตื่น แม้แต่ยืนก็ยืนได้ไม่มั่น ถึงขั้นหน้าทิ่มลงมาจากภูเขาที่เป็นซากกระดูกมนุษย์ ท่าทางหมดสภาพเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง
เขาเริ่มกลิ้งตัวไปทั่วพื้น ร้องเสียงโหยหวนเหมือนเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด สองมือตบตี ตะกุย ดึงทึ้งร่างกายไม่หยุด ไม่นานเขาก็ทำให้ผิวหนังงดงามของตนถลอกปอกเปิก เละเทะ ตุ๊กตาดินพวกนั้นกรูเข้าไปในเนื้อเขาเหมือนก้อนดินหย่อนลงไปในทะเล ละลายหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางสลัดหลุด
ตัวเขาเริ่มเน่าจากภายใน เลือดสีแดงออกดำซึมออกมาทางผิวหนัง เปื้อนเต็มพื้น จางเหวินเฉิงจิกซากกระดูกมนุษย์เพื่อปีนขึ้นไปบนยอดเขาเหมือนแมลงที่บินเข้าไปในกองไฟตามสัญชาตญาณ ลนลานจนหาทางหนีไม่พบ
หัวหน้าเหยียนกับพวกรองผู้บัญชาการมองภาพนี้กันด้วยอาการปากอ้าตาค้าง
พวกเขาเข้าใจว่าไม่มีทางเอาชนะปีศาจตนนี้ได้ เพราะขนาดกระสุนปืนใหญ่ยิงใส่แบบถี่ยิบกับกองทหารนับหมื่นนายยังต้านเขาไม่อยู่ แต่สำหรับอาจารย์ฟั่น จางเหวินเฉิงกลับเป็นแค่ปัญหาที่สาดด้วยก้อนดินไม่กี่ก้อนออกไปก็แก้ไขได้
เห็นได้ชัดว่าปีศาจตนนั้นรู้จักอาจารย์ฟั่น ตอนนี้เลยเอาแต่เรียกชื่อของอาจารย์ฟั่น แสดงออกว่ากลัวเขามาก ไม่อย่างนั้นช่วงที่ยังไม่เจอกัน อีกฝ่ายคงไม่ลนลานขนาดนี้
ท่าทางเกลือกกลิ้งอับจนหนทางของปีศาจตนนี้ทำให้สำนวนหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองของหัวหน้าเหยียนแบบทันทีทันใดว่ากลัวจนขี้แตกเยี่ยวราด
“ตอนที่เด็กพวกนี้เพิ่งเกิดก็ถูกเขาแล่เนื้อเถือหนัง เอาเครื่องในไปคั้นเป็นน้ำ เก็บกระดูกไว้เผาเป็นเถ้าถ่าน” ฟั่นจยาหลัวพูดเสียงเนิบ “ความเจ็บปวดที่เขาได้รับอยู่ตอนนี้ยังไม่ถึงหนึ่งในหมื่นส่วนของความเจ็บปวดที่เด็กพวกนั้นเจอ ทุกกรรมดีและกรรมชั่วย่อมมีเหตุและผล ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น”
หัวหน้าเหยียนมองตุ๊กตาดินที่แย่งกันมุดเข้าไปในตัวของจางเหวินเฉิงแล้วพลันรู้สึกหนาวเยือกเข้าไปถึงกระดูก ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงความมืดดำในใจคนได้อย่างชัดเจน
รองผู้บัญชาการหลายคนมองกันจนตาค้าง ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตัวแข็งจนกะพริบตาไม่ได้
“พอสมควรแล้ว ผมจะไปเก็บกวาดส่วนที่เหลือ ทางที่ดีก่อนจะแน่ใจว่าเขาหมดทางสู้จริงๆ พวกคุณอย่าเข้าไปใกล้” ฟั่นจยาหลัวลุกขึ้นยืน
“ครับ ผมจะให้เฮลิคอปเตอร์ไปส่งคุณนะครับ” หัวหน้าเหยียนดิ้นหลุดออกจากถ้ำน้ำแข็ง เดินเร็วๆ ออกไปข้างนอก
หลายสิบนาทีต่อมาฟั่นจยาหลัวใช้บันไดเชือกไต่ลงไปที่ทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งในหุบเขา มือปืนฝีมือเยี่ยมจำนวนหลายร้อยคนซุ่มอยู่บนเนินดินรอบหุบเขาเพื่อเล็งปืนไปที่จางเหวินเฉิงซึ่งกำลังพะงาบๆ ใกล้ตาย เวลานี้ร่างกายที่เพิ่งฟื้นคืนสภาพมนุษย์ของเขายับเยินจนดูไม่ได้ มีเลือดทะลักออกมาจากรูสีดำทั่วตัว ถึงขั้นมีอวัยวะภายในโผล่ออกมา
ตัวเขาในตอนนี้ดูไม่ได้ ความแข็งแกร่งก็ยังสู้ตอนที่เป็นศพแห้งก่อนหน้านี้ไม่ได้เลย
เขาถลึงตาสีเลือดมองเฮลิคอปเตอร์ที่บินวนอยู่เหนือศีรษะ กระทั่งรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างจึงเผลอหันศีรษะไป หลุบตาลงมอง เผชิญหน้ากับฟั่นจยาหลัวที่ปีนสูงขึ้นมาทีละก้าวๆ ด้วยแววตาหวาดผวา
กระบี่คมกริบที่ลอยคว้างอยู่เหนือศีรษะทิ้งตัวลงมา มันไม่ได้ตัดศีรษะของเขา แต่แทงเข้าที่กระดูกสันหลังทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณของเขาเปลี่ยนเป็นอ่อนแรงลง ศีรษะของจางเหวินเฉิงหงายไปด้านหลังก่อนล้มลงบนซากกระดูกมนุษย์อย่างแรง พอกะพริบตาก็มีน้ำตาโลหิตไหลออกมาสองสาย
โดรนสองสามตัวส่งภาพความหวาดกลัวและสิ้นหวังของเขาไปที่ศูนย์บัญชาการให้พวกหัวหน้าเหยียนได้เห็นกันชัดๆ ใบหน้าที่มีน้ำตาโลหิตไหลรินสลายความคร้ามเกรงที่ทบทวีให้มลายหาย ศูนย์บัญชาการมีเสียงถอนหายใจดังเป็นระลอก บางคนถึงกับตบอกรุนแรงเหมือนรอดตาย แต่ยังคงรู้สึกหวาดๆ
“ชู่ ห้ามส่งเสียง” หัวหน้าเหยียนโบกมือบอกให้ทุกคนเงียบ
ทุกคนจึงกลั้นหายใจมองไปที่คนสองคนซึ่งกำลังเผชิญหน้ากันแบบเงียบกริบ
อันที่จริงจะใช้คำว่าเผชิญหน้าก็ไม่ถูก เพราะถ้าพูดกันจริงๆ น่าจะต้องบอกว่าคนหนึ่งชิลมาก ส่วนอีกคนเกร็งมาก
ตัวของจางเหวินเฉิงเกร็งเต็มที่ สองมือคว้าเอาโครงกระดูกเหล่านั้นขณะค่อยๆ กระถดตัวไปด้านหลังเพื่ออยู่ให้ห่างจากฟั่นจยาหลัว แต่ฟั่นจยาหลัวกลับเดินเข้าไปอย่างมั่นใจ ระหว่างทางเขาก้มลงเด็ดดอกไม้ที่หน้าตาเหมือนน้ำค้างแข็งซึ่งงอกอยู่กลางซากกระดูกมนุษย์ขึ้นมาดอกหนึ่ง
“ว่านจันทรกานต์ กินซากพืชซากสัตว์เป็นอาหาร ขึ้นอยู่ที่ใดที่นั่นย่อมมีความบรรลัย จึงได้ชื่อว่าบุปผามรณะ” เขาคลึงดอกกล้วยไม้แสนสวย แต่กลับทำให้คนขนลุกเกรียว เขาเดินเข้าไปหาจางเหวินเฉิงทีละก้าวๆ ก้มตัวลงวางดอกไม้ลงบนหน้าอกของอีกฝ่าย แบบเดียวกับคนเป็นทำพิธีไว้อาลัยให้แก่คนตาย
หน้าอกที่ขยับขึ้นลงอย่างรุนแรงของจางเหวินเฉิงเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อทันที ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
เขายังคงกระถดตัวไปด้านหลัง ใบหน้างดงามไร้ที่ติบิดเบี้ยวเพราะความพรั่นพรึง
ฟั่นจยาหลัวย่อเข่าใช้ปลายนิ้วเงยคางอีกฝ่าย พิศดูใบหน้าคุ้นตาของจางเหวินเฉิงอย่างละเอียด พูดเสียงเนิบช้า “ท่านชายเป็นหนึ่งมิมีสอง เพี้ยงผ่องพ้องโฉมวิไลเสมอหยก มิบังควรร่วมโลกให้เสื่อมยศ วอนถอนถดคืนกลับสู่ปฐพี คุณชายจางผู้เป็นเลิศ ท่านควรกลับสู่ผืนดินได้แล้ว”
ประโยคนี้เป็นเหมือนยันต์ปลิดชีพทำให้จางเหวินเฉิงเลิกล้มความคิดที่จะวิงวอนขอชีวิต เขาแหงนหน้าหัวเราะอย่างท้อใจ ไม่นานก็เริ่มคุ้ยซากกระดูกมนุษย์ใต้ร่างเพื่อดึงกรงนกซึ่งทำขึ้นจากไหมทองแต่บิดเบี้ยวจนผิดรูปไปนานแล้วกรงหนึ่งออกมาอย่างกินแรง เขาถือมันไว้ในมือ
“เจ้ายังจำกรงนกนี้ได้หรือไม่ ตอนหนีไปใหม่ๆ ข้าเอามันติดไปด้วยเหมือนถูกอะไรเข้าสิง ในช่วงระยะเวลาหลายปีนั้น ไม่ว่าจะไปที่ใด ข้าล้วนเอามันไปด้วย ซ่งเอินฉือถามเหตุผลจากข้าเสมอ แต่ข้าตอบไม่ได้ ตัวข้าในยามนั้นคิดจนสมองแตกก็ยังไม่พบคำตอบ แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าความจริงข้ามีลางสังหรณ์มาตั้งแต่ต้นว่าในสายตาเจ้า พวกข้าเหมือนนกในกรงสองตัว ต่อให้บินไปไกลเพียงใดย่อมมีสักวันที่ต้องกลับมาอยู่ในมือของเจ้า ฮ่าๆๆ ข้ารู้แต่แรกแล้ว…”
ฟั่นจยาหลัวหลุบตามองเขา ดวงตาฉายแววเวทนาสงสาร แต่ความเวทนาสงสารนี้เหมือนมาจากเทวรูปที่สลักขึ้นจากไม้หรือปั้นขึ้นจากดิน มันปราศจากความอบอุ่นและความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 19 พ.ค. 65