everY
ทรราชหวนคืน ตอนพิเศษ 2 เทศกาลจงชิว #นิยายวาย
ตอนพิเศษเทศกาลจงชิว
เมื่อคนรักกลายเป็นลูกสุนัข (#ฮว่าจี่)
ทรราชของสุนัขสวรรค์
“ฮองเฮา…” ฉู่เซ่าหลิงก้าวยาวๆ เข้าไปในตำหนักบรรทม ด้านหนึ่งถอดชุดคลุมมังกร อีกด้านหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า “อยู่เป็นเพื่อนตาแก่พวกนั้นทำให้ข้าต้องนั่งอยู่ที่วังเฉียนชิงเกือบสองชั่วยาม ข้าบอกเหล่าผู้อาวุโสเอาไว้แล้วว่าภายหน้าถ้าไม่อยากมา พวกเขาไม่มาก็ได้ ไม่ต้องจงใจหาเรื่องมาเป็นภาระให้ข้าหาข้าวให้กิน!…ฮองเฮา? เว่ยจี่?”
ทั้งตำหนักเงียบกริบ ไม่มีเสียงคนแม้แต่น้อย
ทว่าฉู่เซ่าหลิงกลับไม่รู้สึกแปลกใจ เนื่องจากเมื่อคืนเขาคึกมาก เว่ยจี่จึงต้องรับหน้าที่ของตำหนักในทั้งสามพัน คาดว่าตอนนี้คงยังลุกไม่ขึ้น ฉู่เซ่าหลิงเองก็รู้ว่าเมื่อวานตนทรมานเว่ยจี่อย่างหนักจึงอมยิ้มเดินเข้าไปในห้องชั้นใน “ยังไม่สบายตัวอยู่อีกหรือ ให้สามีช่วยดู…เว่ยจี่?”
ภายในห้องไม่มีใครเลย ผ้าห่มไหมตกลงมาอยู่บนพื้น บนเตียงยุ่งเหยิง มีหมอนนุ่มๆ อยู่สองสามใบ
หัวคิ้วเป็นระเบียบงดงามของฉู่เซ่าหลิงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาหมุนตัวก้าวยาวๆ ออกจากห้องชั้นใน มององครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตลอดเวลาพลางเอ่ยถามเสียงเย็น “ฮองเฮาเล่า?”
องครักษ์คนแรกชะงักก่อนก้าวออกมาโค้งตัว “ตั้งแต่เช้าฮองเฮายังไม่เสด็จออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ…ฝ่าบาทรับสั่งว่าให้พวกเราเบาเสียง ห้ามรบกวนฮองเฮา ฮองเฮา…มิใช่ว่าบรรทมอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่เซ่าหลิงนิ่วหน้า ตำหนักบรรทมของเว่ยจี่คือสถานที่สำคัญยิ่งกว่าสำคัญในวังหลวง มีองครักษ์คอยเฝ้าในสามชั้น นอกสามชั้น ต่อให้มือสังหารแปลงเป็นนกก็เข้าไปไม่ได้ หรือต่อให้เข้าไปได้ ก็ไม่มีทางจะพาคนหายไปแบบเทพไม่รู้ผีไม่เห็น เช่นนี้
เมื่อไม่มีทางออกไป เช่นนั้นย่อมต้องอยู่ในตำหนัก…หัวใจของฉู่เซ่าหลิงหนักอึ้ง เขาไม่คิดว่าเว่ยจี่จะมีเจตนาหลบซ่อน
“สั่งการลงไป ให้เฝ้าประตูวังอย่างเข้มงวด ห้ามผู้ใดออกจากวังหลวง” ดวงตาของฉู่เซ่าหลิงฉายแววเหี้ยมเกรียม น้ำเสียงเยียบเย็น “ห้ามคนในขยับ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด…ตามกองราชองครักษ์สองกองมาค้นตำหนักให้เราเดี๋ยวนี้ ถ้ายังหาฮองเฮาไม่พบก่อนอาทิตย์ตก…ไม่ต้องมาให้เราเห็นหน้าอีก”
หัวหน้าราชองครักษ์เหงื่อหยดลงมาจากข้างจอนผมหนึ่งเม็ดขณะกัดฟันรับคำ
ฉู่เซ่าหลิงออกคำสั่งเสร็จก็หมุนตัวเดินเข้าไปที่ตำหนักชั้นใน รื้อกล่องล้มตู้ หีบที่มีขนาดใหญ่หน่อยล้วนถูกชายหนุ่มพลิกดู แต่ก็ไม่พบเว่ยจี่
สีหน้าของฉู่เซ่าหลิงย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เว่ยจี่ไม่มีทางหนีไปเอง และยิ่งไม่มีทางจงใจทำให้เขาเป็นห่วง หมายความว่าเว่ยจี่จะต้องถูกคนไม่ดีทำร้าย! อารมณ์รุนแรงปั่นป่วนอยู่ในอกของฉู่เซ่าหลิง เขาแทบอยากสังหารองครักษ์ข้างนอกทิ้งให้หมดเดี๋ยวนี้!
“งี้ด…”
ดวงตาของฉู่เซ่าหลิงเป็นประกาย เขาหยิบกระบี่ที่แขวนอยู่บนผนังลงมาหนึ่งเล่ม เดินเข้าไปในห้องชั้นในช้าๆ…
ภายในห้องนี้เพิ่งถูกชายหนุ่มรื้อไปแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ทว่าเมื่อครู่ฉู่เซ่าหลิงได้ยินเสียงเบาหวิวเสียงหนึ่งจริงๆ เนตรหงส์ของฉู่เซ่าหลิงกวาดมองก่อนเลิกผ้าห่มไหมที่อยู่บนพื้นขึ้น ทันใดนั้นเขารู้สึกว่ามีแสงสีขาวสาดใส่หน้า ก่อนลูกสุนัขตัวขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่งตัวจะกลิ้งออกมาจากผ้าห่ม เนื่องจากเมื่อครู่ฉู่เซ่าหลิงออกแรงไปไม่น้อย ลูกสุนัขจึงกลิ้งไปบนพรมหนาหลายตลบก่อนจะหยุดลง มันลุกขึ้นยืนตัวสั่น ใช้ขาหลังเกาคอแล้วมองฉู่เซ่าหลิงแบบมึนๆ
ครั้งนี้ถึงคราวฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องอย่างฉู่เซ่าหลิงเป็นฝ่ายมึนงงเช่นกัน สุนัขตัวนี้…มาจากที่ใด ฉู่เซ่าหลิงแน่ใจว่าในตำหนักของตนไม่มีเจ้าสิ่งนี้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด พอเขามองเจ้าลูกสุนัขตัวนี้กลับรู้สึกคุ้นตา…
ลูกสุนัขกะพริบตา เมื่อเห็นฉู่เซ่าหลิงชัดๆ มันก็ร้องออกมาหนึ่งเสียงด้วยความดีอกดีใจ วิ่งตุปัดตุเป๋เข้าไปหาชายหนุ่ม ฉู่เซ่าหลิงถอยหลังหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ เขาถือกระบี่เพ่งมองลูกสุนัขแล้วเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยจะเสียใจมาก มันร้องหงิงๆ เดินย่องอย่างระมัดระวัง ทั้งที่หางยังคงแกว่งอย่างประจบเอาใจ
ฉู่เซ่าหลิงนิ่วหน้ามองเจ้าตัวเล็กแล้วดวงตาพลันสว่างวาบ เขาย่อตัวลงไปหยิบสร้อยที่ห้อยคอลูกสุนัขขึ้นมาดูอย่างละเอียด…สร้อยทองคำบริสุทธิ์ฝังอัญมณีประดับมุก เมื่อพลิกดูจะมีอักษรสี่ตัวเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ตราฉู่เซ่าหลิง’
ถ้ามิใช่ตราประทับส่วนตัวที่ฉู่เซ่าหลิงมอบให้เว่ยจี่แล้วจะเป็นอะไร?!
ฉู่เซ่าหลิงมองเจ้าตัวจิ๋วในมือตัวเองด้วยอาการลิ้นแข็งตาค้าง ลูกสุนัขร้องหงิงๆ สองคำก่อนแลบลิ้นออกมาเลียนิ้วเรียวยาวของฉู่เซ่าหลิง
“เจ้าคือ…” ฉู่เซ่าหลิงแทบพูดไม่ออก เขาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ย “เว่ยจี่หรือ”
ไม่รู้ว่าลูกสุนัขฟังเข้าใจหรือไม่เข้าใจ มันมองใบหน้าหล่อเหลาของฉู่เซ่าหลิงนิ่งๆ สักพักแล้วร้อง “โฮ่ง” หนึ่งเสียง
แม้จะพิลึกพิลั่นมาก แต่ดูท่า…ลูกสุนัขตัวนี้จะเป็นเว่ยจี่อย่างไม่ต้องสงสัย
เพื่อมิให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน ฉู่เซ่าหลิงจึงไม่ได้เรียกพวกองครักษ์ แค่ให้คนไปเอานมหนึ่งชามกับน้ำแกงข้นเนื้อหนึ่งชามมา
ฉู่เซ่าหลิงอุ้มลูกสุนัขไปวางไว้บนโต๊ะมังกรเพื่อป้อนนมให้มันด้วยตัวเอง เจ้าตัวจิ๋วเลียอยู่สองสามคำ ฉู่เซ่าหลิงจึงเอาน้ำแกงข้นเนื้อที่อยู่ด้านข้างมาป้อนอีก ลูกสุนัขร้องงี้ดๆ สองเสียงแล้วเอาหัวจุ่มลงไปในชามน้ำแกงทันที
ฉู่เซ่าหลิงหลับตา มิผิด นี่คือรสที่เว่ยจี่ชอบ
แม้จะร้อนใจแต่ฉู่เซ่าหลิงก็ไม่อาจเล่าให้ผู้อื่นฟังได้ จะให้เล่าว่าอย่างไร ฮองเฮาของเรากลายเป็นสุนัขน่ะหรือ ฉู่เซ่าหลิงรับรู้ได้เลยว่าหวังมู่หานจะต้องถามเขาทันทีว่าต้องตามหมอหลวงหรือไม่
หรือต่อให้เปลี่ยนเป็นสุนัขได้จริง แล้วผู้ใดจะรู้ว่าอีกเดี๋ยวจะเปลี่ยนกลับมาเป็นคนได้หรือไม่ ถ้าเรื่องแพร่ออกไป ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เว่ยจี่จะต้องถูกตราหน้าว่าเป็น ‘ปีศาจสุนัข’ แน่นอน เพราะเดิมทีการที่เว่ยจี่ผู้เป็นบุรุษนั่งตำแหน่งฮองเฮาก็เต็มไปด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบอยู่แล้ว ฉู่เซ่าหลิงไม่มีทางให้เขาต้องมาเจอเรื่องไม่ดีไม่งามอีกเป็นอันขาด อีกประการหนึ่งคือถึงจะเล่าให้ผู้อื่นฟัง ฉู่เซ่าหลิงก็ไม่คิดว่าจะมีผู้ใดช่วยอะไรตนได้
ฉู่เซ่าหลิงกลุ้มใจ เขาใช้นิ้วจิ้มหัวลูกสุนัขเบาๆ พลางพูดเสียงแผ่ว “จะทำอย่างไรดี”
ลูกสุนัขไม่มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจอะไร เหมือนมันไม่ได้กินอิ่มมาหลายวันเลยเกาะชามน้ำแกงเพื่อสวาปาม แต่หัวเล็กๆ กลับดันชามน้ำแกงห่างออกไปไกลมาก ฉู่เซ่าหลิงถอนหายใจเบาๆ ช่วยมันถือชามเล็กเอาไว้ กล่อมเสียงแผ่ว “กินช้าหน่อย เดี๋ยวสำลัก…”
คอยจนลูกสุนัขกินอิ่มฉู่เซ่าหลิงก็เริ่มคิดได้ ประการแรกคือสั่งคนไปเสาะหาผู้ที่มีวิชาและฌานตบะมา…ไม่ว่าจะเป็นนักพรต ภิกษุ หรือร่างทรงล้วนได้ทั้งสิ้น ขอเพียงมีความสามารถ ทุกคนย่อมถูกเรียกเข้าวัง
แม้พวกเขาจะแปลกใจมากว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงอยากเชิญผู้วิเศษมาในวันเทศกาลจงชิว แต่ฉู่เซ่าหลิงมีอำนาจมากจนไม่มีผู้ใดกล้าพูด ทำได้เพียงวิ่งวุ่นเสาะหาภิกษุกับนักพรตจำนวนไม่น้อยมา
ฉู่เซ่าหลิงสวมชุดคลุมมังกร มองเหล่าผู้วิเศษที่แต่งกายประหลาดอยู่ด้านล่างด้วยสายตาเยียบเย็นจนทุกคนมีเหงื่อเย็นๆ ผุดซึมออกมา แล้วจึงพูดเสียงหนัก “เรา…”
นักพรตเฒ่าคนหนึ่งมีอาการชักก่อนล้มตึง
ฉู่เซ่าหลิงหลับตา พยายามกดข่มเพลิงโทสะในใจ เขาตบโต๊ะตวาด “เราให้พวกเจ้าหาคนเก่งที่มีวิชามา แล้วพวกเจ้าหาสิ่งใดมาให้เรา!”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกไป ในตำหนักมีคนล้มลงไปอีกสองคน
ลูกสุนัขสีขาวที่อิ่มหนำสำราญกำลังขดตัวงีบหลับอยู่ในอ้อมแขนของฉู่เซ่าหลิง มันสะดุ้งตื่นเพราะโทสะของเขา ทว่าราวกับเจ้าตัวเล็กพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้เป็นกิจวัตรจึงไม่มีอาการเกรงกลัวแม้แต่น้อย มันยกขาหน้าที่มีขนปุกปุยนุ่มนิ่มกดหน้าอกของฉู่เซ่าหลิงอย่างชำนิชำนาญ ฉู่เซ่าหลิงสูดลมหายใจเข้าปอดลึก เหมือนมาก…
คนกลุ่มนี้คือผู้วิเศษทั้งหมดที่มีอยู่ในเมืองหลวง เกิดพวกเขาตกใจตาย ฉู่เซ่าหลิงคงต้องส่งคนไปเชิญผู้ปราดเปรื่องมาจากเขาเซ่าซื่อหรือเขาอู่ตัง น้ำที่อยู่ไกลมิอาจดับความกระหายที่อยู่ใกล้ ฉู่เซ่าหลิงทำได้เพียงสะกดอารมณ์ของตัวเองไว้ พูดเสียงเย็น “วันนี้…มีคนมอบบรรณาการนี้ให้เรา…สุนัขเทพ”
ฉู่เซ่าหลิงยกลูกสุนัขให้ผู้วิเศษทุกคนดูแล้วพูดต่อ “ว่ากันว่าสามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้ พวกเจ้า…พวกเจ้าคนใดสามารถช่วยให้มันแปลงเป็นมนุษย์ได้ เรามีรางวัลให้อย่างงาม”
ฉู่เซ่าหลิงกวาดตามองทุกคนหนึ่งรอบ หัวเราะเสียงเย็น “แต่หากไม่ได้ ทุกคนจะโดนจับถ่วงทะเลเป็นอาหารปู”
ผู้วิเศษทุกคนมองหน้ากันอย่างยอมจำนน แต่ละคนหยิบของวิเศษของตัวเองออกมาสำแดงวิชาสิบแปดประการ หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม ลูกสุนัขได้เห็นสิ่งแปลกตาจนจุใจแล้วจึงค่อยๆ เหยียดขาทั้งสี่ข้าง ตัวอ่อนฟุบหลับอยู่บนซิ่วตุน
ทุกคนยังพยายามคิดหาวิธีอื่นอีก แต่ฉู่เซ่าหลิงหมดอารมณ์จะดู เขาโบกมือ องครักษ์จึงกรูกันเข้ามาในตำหนักใหญ่เพื่อลากตัวคนกลุ่มนี้ไป
ฉู่เซ่าหลิงอุ้มลูกสุนัขอย่างระมัดระวัง ถอนหายใจเบาๆ พามันกลับไปที่ตำหนักบรรทม
ลูกสุนัขตัวเล็กมาก ฉู่เซ่าหลิงไม่กล้าวางมันไว้บนพื้นเพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่ระวัง หรือมีคนตาไร้แววไม่รักชีวิตจะเหยียบมันเข้า จึงอุ้มมันไว้ในอ้อมแขนตลอด ลูกสุนัขเองก็ชอบฉู่เซ่าหลิงมากจึงเกาะติดเขาไม่ห่าง แสดงให้เห็นว่ามันรักเขา
ฉู่เซ่าหลิงอุ้มมันไว้ขณะกินอาหาร ขณะอ่านฎีกา ขณะรับการถวายพระพรจากเหล่าขุนนาง ตลอดทั้งวัน แต่ลูกสุนัขกลับอยู่ไม่สุขมากขึ้นเรื่อยๆ มันตะกายขึ้นไปบนโต๊ะแปดเซียนตัวใหญ่ คาบเอาน่องไก่หนึ่งน่องมาใส่จานที่อยู่ตรงหน้าฉู่เซ่าหลิง
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเสียงขื่นเบาๆ “เจ้ากินเองเถอะ”
ลูกสุนัขเงยหน้าขึ้นมองฉู่เซ่าหลิงอย่างไม่ค่อยเข้าใจ มันคาบน่องไก่ไปให้ฉู่เซ่าหลิงอีกครั้งและแลบลิ้นเล็กๆ ส่งเสียงแฮ่ๆ
ฉู่เซ่าหลิงก้มหน้า พูดเสียงเบา “เว่ยจี่…เหตุใดถึงกลายเป็นสุนัขนะ”
อุ้งเท้าสองข้างที่วางไว้คู่กันของลูกสุนัขมีสีขาวราวหิมะ คล้ายก้อนเนื้อเล็กๆ สองก้อน ฉู่เซ่าหลิงใช้นิ้วชี้แตะเบาๆ ลูกสุนัขก็ดึงอุ้งเท้าหนึ่งข้างมากดนิ้วของฉู่เซ่าหลิงไว้ พอฉู่เซ่าหลิงดึงมือออกมาแตะใหม่ ลูกสุนัขก็ใช้อุ้งเท้าตะปบอีก
ฉู่เซ่าหลิงเล่นกับมันพักหนึ่ง เขาถอนหายใจเบาๆ “ช่างเถอะ เจ้าชอบก็พอ”
แสงจันทร์อาบหอตะวันตก รัศมีสีเงินสุกสกาวทั่วผืนดิน ฉู่เซ่าหลิงก้มหน้าลงไปจุมพิตหน้าผากลูกสุนัขเบาๆ อย่างแสนรัก
‘ปุ้ง!’
ถ้วยชามจานตะเกียบบนโต๊ะแปดเซียนร่วงลงไปแตกที่พื้นเสียงดังเพล้ง ลูกสุนัขไม่รู้หายไปที่ใด กลายเป็นเว่ยจี่นั่งคุกเข่าร่างเปลือยเปล่าอยู่บนโต๊ะแปดเซียน เว่ยจี่มีสีหน้ามึนงง เขามองไปรอบๆ ก่อนมองตัวเอง แล้วจึงหน้าแดงขึ้นทันตา “ฝ่า…ฝ่าบาท…เหตุใด…กระหม่อมจึงไม่ได้สวมเสื้อผ้า…”
ฉู่เซ่าหลิงนิ่งไปสักพักก่อนได้สติ เขาถอดชุดคลุมมังกรปักดิ้นทองห่มให้เว่ยจี่ แววตาทั้งปวดใจทั้งดีใจ “เจ้า…เจ้าจำไม่ได้เลยหรือ”
เว่ยจี่สั่นศีรษะอย่างซื่อๆ ฉู่เซ่าหลิงค่อนข้างอัศจรรย์ใจ “แต่ท่าทางของเจ้าเมื่อครู่…เห็นอยู่ว่าจำได้ เจ้าเอาของชอบมาให้ข้าก่อน เรื่องนี้จำได้หรือไม่”
สีหน้าของเว่ยจี่งงงัน เขาไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ ฉู่เซ่าหลิงอุ้มเว่ยจี่ไปที่เตียงก่อนเล่าเรื่องเมื่อตอนกลางวันให้เขาฟัง เว่ยจี่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ “กระหม่อม…กระหม่อมกลายเป็นสุนัขหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่เซ่าหลิงผงกศีรษะ หัวเราะเบาๆ “ข้านึกว่าเจ้ารู้ ทั้งยังเกรงว่าเจ้าจะกลัวหากตัวเองกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เลยต้องคอยกอดเจ้าเอาไว้”
เว่ยจี่สั่นศีรษะ ฉู่เซ่าหลิงยิ้มบางๆ “ที่แท้เจ้าก็ไม่รู้ว่าช่วงที่เจ้าเป็นลูกสุนัข เจ้าติดข้ามาก”
ใบหน้าของเว่ยจี่ฉายแววจริงใจ “เรื่องนั้นย่อมแน่นอน…ไม่ว่าจะเป็นชาติภพใด ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นอะไร กระหม่อมจะต้องชอบฝ่าบาทแน่นอน” รอยยิ้มของเว่ยจี่ดูซื่อ “นี่คือสิ่งที่มาพร้อมโชคชะตา เปลี่ยนแปลงไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ภาพที่เขาอุ้มเว่ยจี่กระโดดลงเหวเมื่อชาติก่อนปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีกครั้ง ฉู่เซ่าหลิงสูดลมหายใจเข้าปอดลึก กอดเว่ยจี่ไว้ในอ้อมแขนแน่น
เว่ยจี่ไม่รู้ว่าฉู่เซ่าหลิงคิดถึงเรื่องอะไร แต่การไม่ได้พบฉู่เซ่าหลิงหนึ่งวันทำให้เขาคิดถึงอีกฝ่ายมาก เขากอดฉู่เซ่าหลิงอย่างแสนรักและเคลียคลออยู่ตรงไหล่ชายหนุ่มเบาๆ
จันทราลอยเด่นเหนือนภานอกบัญชร คนในหอนอนพลอดรักชั่วกัลปาวสาน