เนี่ยชังหมิงทำหูทวนลม หันขวับไปหยิบผ้าคลุมกันลมของนางมาห่มร่างเล็ก จากนั้นก็ช้อนตัวนางขึ้น
ตัวนางเบาหวิวราวกับไร้น้ำหนัก นึกภาพไม่ออกเลยว่าเป็นคนที่กินหกมื้อต่อวัน เพราะไม่ได้อ้วนเลยสักนิด
นางซุกหน้าเข้ากับอกเขา แล้วหลับตาลงอย่างอ่อนแรง
ชายหนุ่มนึกรังเกียจความไม่รักนวลสงวนตัวของนาง ทว่ายังคงฉาบยิ้มบางๆ ไว้บนใบหน้าขณะพูดกับขุนนางสำนักราชบัณฑิตในที่นั้น “เลยทำให้ทุกท่านพลอยกังวลไปด้วย”
“ไม่ขอรับ…ไม่เลยสักนิด…” ถานเสี่ยนย่าตอบเสียงแหบ ก่อนจะรีบกระแอม สายตาเหลือบมองร่างเบาหวิวราวกับขนนกของนางโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็เลื่อนลงไปมองท่อนแขนกำยำแข็งแรงที่อุ้มนางโดยมีผ้าคลุมกันลมขวางกั้น
รอยยิ้มของเนี่ยชังหมิงแข็งขึ้นเล็กน้อยเมื่ออุ้มนางเดินออกไปข้างนอก
“แหม ข้าเข้าใจแล้ว!” ต้วนหยวนเจ๋อที่ได้สติกลับมาปรบมือร้องขึ้น “มิน่าเล่า พอพี่ชังหมิงได้ยินคำว่าสำนักราชบัณฑิต รอยยิ้มก็หายวับกลายเป็นสีหน้าถมึงทึงขึ้นมาทันที ที่แท้…เขาก็ทั้งรักทั้งชังถานอู่ฟูนี่เอง…”
“รัก?!” ขุนนางในที่นั้นอุทานเซ็งแซ่
“พะ…พวกเขาเป็นบุรุษทั้งคู่นะ…” ถานเสี่ยนย่าแย้งเสียงสั่น รูปลักษณ์อ่อนใสเกลี้ยงเกลาของถานอู่ฟูลอยขึ้นมาในสมอง เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองงามสง่านุ่มนวล จวบจนได้พบถานอู่ฟู คนผู้นี้ดูผ่องใสกว่าเขาเสียอีก ซ้ำรูปร่างยังอ้อนแอ้นบอบบาง กระเดียดไปทางสตรี…
“เป็นบุรุษแล้วอย่างไรเล่า” ศีลธรรมเสื่อมโทรมเพราะราชวงศ์ ปัญญาชนครวญคร่ำจะเป็นจะตายเพราะกามา เริงรักกับเด็กหนุ่มเอย สำส่อนในหอนางโลมเอย เสพพรหมจรรย์หญิงสาวเพื่อความเป็นอมตะเอย ล้วนแต่เป็นเรื่องบัดสีแหลกเหลว นิยมเพศเดียวกันยังถือว่าปกติ!
“แต่…” ถานเสี่ยนย่าแย้งอย่างตกตะลึง อะ…อู่ฟูคนนี้ดูสุภาพเรียบร้อย ต้องมาตกต่ำเพราะอย่างนี้น่าเสียดายเกินไป “แต่…อู่ฟูเพิ่งเข้ามาทำงานในสำนักราชบัณฑิตแค่ไม่กี่วัน เหตุใดถึง…ชอบพอ…กับเนี่ยเจวี๋ยเหยียได้เล่า”
“ท่านไม่รู้หรอกหรือ ตอนนี้ทั่นฮวาพักอยู่ในคฤหาสน์สกุลเนี่ย ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ไม่ธรรมดา หากไม่เชื่อก็ลองถามผู้อาวุโสในที่นี้ดู เนี่ยชังหมิงเป็นขุนนางมีบรรดาศักดิ์ กินตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายทัพซ้าย ปีนี้อายุยี่สิบสาม ที่บ้านมีพี่น้องสิบกว่าคน ตระกูลร่ำรวยมหาศาล บรรพบุรุษเป็นขุนนางสำคัญที่มีส่วนช่วยในการก่อตั้งราชวงศ์ ตัวเขาเองก็งามสง่าโดดเด่น เหตุใดถึงได้คอยปฏิเสธขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนักเรื่องแต่งงานครั้งแล้วครั้งเล่า” ต้วนหยวนเจ๋อยิ้มตาเป็นประกาย นึกยินดีว่าอีกไม่นานคำพูดของตนจะกลายเป็นข่าวลือที่แพร่กระจายนับครั้งไม่ถ้วน เมืองหลวงน่าเบื่อเกินไป เขาเลยต้องหาความบันเทิงให้ตัวเองอย่างไรเล่า
“นี่…ต้วนเจวี๋ยเหยียหมายความว่า…”
“เนี่ยชังหมิงกับถานอู่ฟูผูกพันแน่นแฟ้น เนี่ยไม่อาจแยกจากถาน ถานไม่อาจแยกจากเนี่ย พวกท่านจำไว้แค่นี้พอ” หากยังไม่เผ่น เขาได้หลุดขำออกมาแน่ ต้วนหยวนเจ๋อรีบประสานมือคำนับลา พอออกจากสำนักราชบัณฑิตมาได้ก็แอบกุมท้องหัวเราะลั่นอยู่ตรงมุมกำแพงวังหลวงคนเดียว
นับจากนี้ไปเมืองหลวงก็จะมีหัวข้อให้สนทนาหลังอาหารเพิ่มอีกหนึ่ง เขาซึ่งเป็นผู้รวบรวมข่าวสัพเพเหระจากแหล่งต่างๆ แน่นอนว่ายอมปล่อยข่าวเองด้วยเช่นกัน
“ไม่ใช่ว่าข้าจงใจทำร้ายเจ้าหรอกนะ แต่ปฏิกิริยาของเจ้าดูน่าสงสัยจริงๆ” เขาพึมพำกับตัวเอง “พี่ชังหมิง แต่ก่อนข้าไม่เคยรู้เลยว่านอกจากอมยิ้มแล้ว เจ้าก็ทำหน้าอย่างอื่นเป็น เมื่อมีโอกาสเล่นงานเจ้า จะไม่ให้ข้าคว้าไว้ได้อย่างไร” ตอนที่ลงสมรภูมิเข่นฆ่าศัตรูด้วยกันเป็นครั้งแรก เลือดกระเซ็นมาใส่ตัว เขาหลบไปพลางอาเจียนไปพลาง หลังเสร็จศึกยังแอบร้องไห้อยู่ในกระโจมยกใหญ่ แต่เนี่ยชังหมิงกลับสามารถถือดาบสังหารข้าศึกด้วยรอยยิ้มบางๆ
เขาเพิ่งได้ตระหนักอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกก็คราวนั้นว่าหน้าไม่กระดิกหมายความว่าอย่างไร นับแต่นั้นไม่ว่าจะเวลาโรมรันข้าศึก เวลาอยู่ในราชสำนัก หรืออยู่กับสหายร่วมศึกอย่างเขา เนี่ยชังหมิงก็ไม่เคยถอดหน้านั้นออกเลยสักครั้ง
หากจะถามว่าโลกนี้มีเรื่องไหนที่เขาอยากรู้ที่สุด คงต้องบอกว่าเป็นอีกด้านของเนี่ยชังหมิงเมื่อถอดหน้ากากยิ้มละไมออก และใครกันที่ทำให้คนคนนั้นยอมถอดหน้ากากได้
นับจากนี้เป็นต้นไป ข่าวลือที่ทุกคนรู้กันทั่วก็จะสะพัดไปทั้งเมืองหลวง…
เนี่ยชังหมิงกับถานอู่ฟูชะตาเกี่ยวพันกัน แยกออกจากกันไม่ได้
แต่เวลานี้ เฮ้อ…เขาเห็นจะต้องลี้ภัยก่อนล่ะ