พอออกจากประตูตงหวาก็มีเกี้ยวรออยู่ข้างนอกแล้ว
“เนี่ยเจวี๋ยเหยีย!” ใต้เท้าจางที่กำลังจะก้าวขึ้นเกี้ยวอีกด้านเห็นเขาเข้าก็ปรี่เข้ามาหา “เนี่ยเจวี๋ยเหยียอย่าเพิ่งไป…อ้าว เขาคือ…” สายตาชราเพ่งมองเด็กหนุ่มในวงแขนของเนี่ยชังหมิง แต่มองเห็นหน้าไม่ถนัดนัก
เนื่องจากเดินมาค่อนข้างไกล เนี่ยชังหมิงจึงตอบผ่านเสียงหอบ “เขาเป็นขุนนางในสำนักราชบัณฑิตอย่างไรเล่า ยามนี้กำลังป่วย ข้าจึงจะพาไปขึ้นเกี้ยวขอรับ”
“อย่างนี้นี่เอง…” ใต้เท้าจางทำท่าลังเล แต่เห็นว่าถานอู่ฟูน่าจะหมดสติ จึงลดเสียงลงพูดเบาๆ “เรื่องที่ข้าพูดเมื่อวันก่อน เจวี๋ยเหยียยังจำได้หรือไม่”
ชายหนุ่มหรี่ตา “ใต้เท้าจางหมายถึง…”
“นักพรต” ใต้เท้าจางตบไหล่เขาทีหนึ่งแล้วพูดอ้อมๆ “ตอนนี้พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมจุ้ยเซียน รอให้ข้าพาไปแนะนำตัวอยู่ นักพรตผู้นี้วิชาอาคมแก่กล้า จะต้องมอบยาอายุวัฒนะให้องค์จักรพรรดิได้อย่างแน่นอน ตอนนี้เขาพักอยู่ในเขตที่เจวี๋ยเหยียรับผิดชอบ ต้องขอให้เจวี๋ยเหยียช่วยดูแลหน่อยนะ”
“ข้อนี้แน่นอนอยู่แล้ว หากเรื่องนี้สำเร็จ ต้องขอให้ใต้เท้าช่วยพูดส่งเสริมผู้น้อยด้วย” ใบหน้าคมคายยังประดับยิ้มบางๆ ไม่เปลี่ยน
“อูย…” ถานอู่ฟูงึมงำทั้งที่ยังไม่ได้สติ สองตาปิดสนิท คิ้วโก่งเรียวงามขมวดเข้าหากัน
เนี่ยชังหมิงฉวยโอกาสขอตัวลายิ้มๆ แล้วอุ้มนางไปขึ้นเกี้ยวภายใต้สายตามีนัยลึกซึ้งของใต้เท้าจาง
เกี้ยวเล็กแบบสี่คนหามตรงดิ่งไปยังคฤหาสน์สกุลเนี่ยท่ามกลางแสงเหลืองสลัวของดวงโคม
“เข้าตรอกเล็กจะเร็วหน่อย” เนี่ยชังหมิงสั่งขณะเดินอยู่ข้างเกี้ยว เดิมทีเขาตั้งใจจะให้บ่าวส่งนางกลับ แต่นางอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว จะลงจากเกี้ยวเองได้อย่างไร
“พี่ใหญ่…ข้าแทบจะกลิ้งตกลงไปอยู่แล้ว…” เสียงอ่อนระโหยโรยแรงดังออกมาจากในเกี้ยว
ได้สติเร็วถึงเพียงนี้เชียว?
“นั่งดีๆ ไม่เป็นหรือ”
“ข้าไม่มีแรงเลย…โอ๊ย!” เสียงหัวโขกผนังเกี้ยวดังขึ้น “เจ็บยิ่งนัก…”
เขากัดฟันแน่น สั่งให้คนหามเกี้ยวหยุด แล้วชะโงกตัวเข้าไปดู
นางนั่งตัวเอนกระเท่เร่อยู่ในเกี้ยว ท่าทางมึนๆ เขาเอื้อมมือออกประคองร่างนั้นให้นั่งตรง โดยวางมือลงบนผ้าคลุม ไม่ได้สัมผัสนางโดยตรง
“พี่ใหญ่ ท่านเองก็ขึ้นมานั่งด้วยกันสิ”
“ถ้าไม่ขึ้น เจ้าก็แหกปากเอะอะไม่เลิก ข้าไม่ขึ้นได้หรือ”
ร่างอ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกของนางเอนอิงเข้ามาซบ เขาทำท่าจะผลักนางออกตามสัญชาตญาณ แต่เกี้ยวแคบๆ แบบนี้ จะผลักไปไหนได้เล่า มีแต่ต้องยอมฝืนใจให้นางซบไหล่นั่นล่ะ
ไม่มียางอายเอาเสียเลย!
เขาไม่เคยเห็นสตรีคนใดไร้ความละอายเท่านี้มาก่อน ต่อให้แต่งกายเป็นชาย ก็ควรระวังตัวไม่ใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามเกินพอดี
“หากอยู่ในราชสำนักต่อไม่ไหวก็ลาออกจากราชการเถิด” เขานั่งตรงแน่วตัวแข็งทื่อ
“เอาแต่พูดคำเดิมซ้ำๆ พี่ใหญ่ไม่เบื่อ แต่ข้าเบื่อนะ”
“จะต้องให้ข้าพูดออกมาชัดๆ ใช่หรือไม่”
นางเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไร้เดียงสา แล้วถามผ่านรอยยิ้ม “พูดอะไรชัดๆ หรือ”
พูดชัดๆ ว่าเจ้าเป็นหญิงอย่างไรเล่า เมื่อพูดออกมาก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ!
“พี่ใหญ่ นั่นโรงเตี๊ยมจุ้ยเซียนนี่นา” อยู่ๆ นางก็พูดขึ้นอย่างอ่อนแรง
ชายหนุ่มหรี่ตา โพล่งถามไปว่า “เจ้า…ได้ยินหมดแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ได้ยินอะไร” ปลายนิ้วขาวเรียวเล็กชี้โรงเตี๊ยมที่อยู่ด้านนอก “ตอนเข้ามาสอบในเมืองหลวง ข้าได้ยินคนเขาพูดกันว่าโรงเตี๊ยมจุ้ยเซียนมีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่เข้าไปได้ น่าเสียดายที่ข้ามีค่าเดินทางจำกัด เลยอดเข้าไปดูข้างใน พี่ใหญ่ ท่านว่าหากอ้างชื่อท่าน จะเข้าไปนั่งกินดื่มในนั้นโดยไม่ต้องเสียเงินได้หรือไม่”
นางหมายความว่าอย่างไรกัน นี่นางแอบฟังข้ากับใต้เท้าจางคุยกันกระมัง