ข้อสรุปของบุษบาทำให้กานต์ถึงกับเหวอ ทว่าคนสรุปก็ออกเดินเสียแล้ว เธอเลยได้แต่รีบสาวเท้าตาม พร้อมกันนั้นก็ต้องพยายามทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะไปกินข้าวกับเธอที่ฟู้ดคอร์ตจริงๆ และในที่สุดก็ตัดสินใจถามออกไปตรงๆ
“คุณบุษคะ คุณจะไปกินข้าวกับหนูที่ฟู้ดคอร์ตจริงๆ เหรอ”
“จริงสิจ๊ะ ทำไมล่ะ คิดว่าฉันกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ตไม่ได้หรือไง ฉันไม่ได้เรื่องมากติดหรูหรอก”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ…”
“หรือว่าหนูเปลี่ยนใจอยากกินร้านแถวนี้” บุษบาพูดต่อตั้งแต่หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบประโยคดี
“เอ่อ เปล่าค่ะ”
“งั้นก็ไปฟู้ดคอร์ตกัน ความจริงฉันก็ไม่ได้ไปนั่งกินตามฟู้ดคอร์ตนานแล้วเหมือนกัน น่าสนุกดี”
กานต์กะพริบตาปริบๆ…ดูเหมือนบุษบาจะเห็นว่าการไปกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ตเป็นเรื่องน่าสนุก และที่แน่ๆ เธอไม่มีโอกาสปฏิเสธเสียด้วย
“อันนี้สีสวยจัง ซื้อสองชิ้นลดตั้งห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เราแบ่งกันคนละตลับแล้วกันนะ”
บุษบาชูตลับบลัชออนสีส้มอมน้ำตาลยี่ห้อดังขึ้นมาเป็นเชิงให้กานต์ดูสี แต่หญิงสาวยังไม่ทันได้ออกความเห็นใดๆ ผู้สูงวัยกว่าก็หย่อนมันลงในตะกร้าที่เธอหิ้วอยู่เสียแล้ว จากนั้นท่านก็หันกลับไปหาเชลฟ์อีกรอบ สายตาสอดส่ายมองหาของที่น่าสนใจชิ้นอื่นต่อ
หลังจากนั่งกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ต บุษบาก็ได้รับรายงานจากคนขับรถว่าด้านนอกห้างรถติดมาก ท่านเลยชวนกานต์เดินเล่นด้วยกันในห้างต่อ ซึ่งเธอก็ตอบตกลงโดยดี ถึงจะเหนื่อยเพราะทำงานตั้งแต่เช้าจนรู้สึกอยากพักอยู่บ้าง แต่ถึงกลับออกจากห้างตอนนี้กานต์ก็คงได้แค่ไปนอนเล่นที่ห้องพัก และเธอคิดว่าไม่ควรทิ้งบุษบาไว้คนเดียว ไม่ต้องนับว่าท่านเพิ่งเลี้ยงข้าวเย็นเธอด้วย
เวลานี้พวกเธอทั้งสองมาอยู่ที่บิวตี้บาร์ซึ่งเป็นร้านเครื่องสำอางแบบมัลติแบรนด์ สตรีสูงวัยบอกว่ามีโวเชอร์ที่ใช้คะแนนบัตรเครดิตแลกมา และท่านก็ช็อปปิ้งเพลินทีเดียว ในตะกร้าตอนนี้เต็มไปด้วยข้าวของที่ส่วนใหญ่ท่านเป็นคนเลือก บางอย่างที่ซื้อสองชิ้นถูกกว่าท่านก็จะหยิบมาให้เธอด้วย แม้จะเกรงใจ แต่ราคาค่างวดของมันก็เพียงแค่หลักร้อย ไม่ได้แพงจนตาเหลือก กานต์เลยคิดว่ารับมาดีกว่าปฏิเสธให้ท่านเสียน้ำใจ
บุษบาเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดีและใจดีมากทีเดียว
“เออ ว่าไปของก็เยอะแล้วนะ อาจจะเกินโวเชอร์ที่มีแล้วด้วย เราไปเช็กที่แคชเชียร์กันก่อนดีกว่า” สตรีสูงวัยบอกเมื่อเหลือบมาเห็นของในตะกร้า
“ค่ะ” กานต์พยักหน้ารับ แต่พอหมุนกายจะเดินไปยังแคชเชียร์เธอก็สังเกตเห็นสาวสวยคนหนึ่งกำลังยืนมองมา ครั้นได้สบตากันอีกฝ่ายก็ยิ้มให้และเดินตรงเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะ”
สาวสวยคนนั้นยกมือไหว้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นการไหว้ทักทายบุษบา
“อ้าว สวัสดีจ้ะหนูศศิ ไปไงมาไงจ๊ะเนี่ย”
“แวะมาสำรวจกิจการค่ะ” ศศิชาตอบทั้งรอยยิ้ม “หนูเพิ่งเอาน้ำหอมมาลงในห้างนี้ แล้วก็ที่บิวตี้บาร์สาขานี้ด้วย”
“อ้อ จริงสิ” บุษบาหันไปมองทางโซนน้ำหอม ครั้นหันกลับมาก็เห็นว่าสองสาวกำลังสบตาและส่งยิ้มให้กัน ท่านเลยแนะนำ “กานต์จ๊ะ นี่หนูศศิ ศศินำเข้าเครื่องสำอางหลายแบรนด์แล้วตอนนี้ก็ทำแบรนด์ของตัวเองด้วย…หนูศศิ นี่กานต์จ้ะ เป็นนางแบบ”
“และเป็นนายแบบด้วยใช่ไหมคะ” ศศิชาถามก่อนที่กานต์จะทันอ้าปากเอ่ยทักทายเธออย่างเป็นทางการเสียอีก
“รู้ด้วยเหรอ” หญิงสูงวัยเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ
“เคยได้ยินคนพูดถึงกับเคยเห็นรูปทั้งเวอร์ชั่นที่เป็นนายแบบและนางแบบเลยค่ะ อยากเจอตัวจริงมานานแล้ว…พอมาดูใกล้ๆ แล้วหน้าว้านหวาน แต่บางมุมก็เท่จัง เก๋มากเลย”
“ขอบคุณค่ะ” กานต์ยิ้มรับคำชม แม้จะยังงงๆ ว่าทำไมพักนี้ดูเหมือนจะมีคนสนใจความเป็นโมเดลสองร่างของเธอหลายคน ทั้งที่ปกติไม่ค่อยมีคนทักหรือพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่
“ศศิมีแคมเปญโฆษณาอะไรบ้างไหมล่ะ ใช้กานต์เลยสิ”