มันประหลาดเกินไปแล้ว! เพราะเหตุใดหลินไต้อวี้ถึงไม่เป็นที่ต้อนรับได้ถึงเพียงนี้ทั้งที่มารดาของนางเป็นบุตรสาวที่ท่านยายรักที่สุด หลังจากที่มารดาของนางเสียชีวิตไม่นาน นางก็เข้ามาอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่าตามคำสั่งของท่านยาย แล้วเหตุใดท่านยายจึงไม่รักนาง
บางทีนางอาจจะมาเจอกับเนื้อเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างสมควรตายเข้าแล้ว ทั้งนี้และทั้งนั้นคือถ้าอยากพลิกสถานการณ์ นางต้องยอมจ่ายค่าตอบแทนเล็กน้อย เป็นต้นว่านอกจากการสวมเสื้อหลากสีทำให้บุพการีเพลิดเพลิน แล้วนางยังสอบถามเสวี่ยเยี่ยนว่ามารดาผู้วายชนม์ของนางมีอุปนิสัยอย่างไรเพื่อทำให้ท่านยายหันมาสนใจตัวนางที่น่าสงสาร
ต้องบอกให้รู้ก่อนว่าในคฤหาสน์สกุลจย่านี้ ท่านยายเป็นใหญ่ที่สุดและมีอำนาจอยู่เหนือทุกคน ต่อให้ตีบ่าวไพร่ในบ้านตายแล้วยัดข้อหาให้ลูกหลานสักคนจนเสียชีวิต แม้แต่จักรพรรดิยังสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวไม่ได้
หากล่วงเกินท่านยายแล้ว หลินไต้อวี้ยังจะมีวันดีๆ ให้ผ่านอีกหรือไร
สามปีผ่านไป ในที่สุดก็เป็นผลบ้างแล้ว แม้ท่านยายจะไม่ค่อยสนิทสนมกับนาง แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้มองค้อนนางเหมือนท่านป้าสองคน ทำให้หลินไต้อวี้เริ่มจะจับทางได้ว่าจะต้องมีคนไปคอยเป่าหู แม้ท่านยายจะอายุเยอะแล้วแต่กลับเชื่อคนง่ายอย่างน่าประหลาด หลินไต้อวี้จึงต้องคอยเข้าไปเสนอหน้าทุกวันเพื่อให้ตนได้รับความโปรดปราน เช่นนี้นางจึงจะมีวันดีๆ ให้ผ่าน
ทว่าพูดกันตามความจริง ขนาดใช้ความพยายามถึงสามปีเต็ม แต่ผลลัพธ์กลับยังไม่ค่อยดี เพราะสถานภาพของนางในคฤหาสน์สกุลจย่ากระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อย น้อยจนนางนึกอยากจะกลับบ้านเต็มแก่
อยู่ที่นี่นางไม่มีอำนาจอะไรเลย ยากที่จะกินอิ่มสวมอุ่น และที่น่ารังเกียจมากที่สุดคือทุกสองวันสามวันนางเป็นต้องไม่สบาย ยิ่งพอเข้าหน้าหนาวนางถึงกับต้องไปวนเวียนอยู่แถวหน้าประตูผีหลายครั้ง…ก่อนจะกลับมามีชีวิตน่าสงสารอย่างที่ต้องกินยาอย่างต่อเนื่อง ต้องสวมเสื้อหลากสีทำให้บุพการีเพลิดเพลินและต้องทำเป็นหูหนวกตาบอดต่อฉากเริงรมย์ที่สามวันมีให้ดูฉากเล็ก ห้าวันมีให้ดูฉากใหญ่
สวรรค์! นางขอกระโดดลงบ่อน้ำเพื่อสละสิทธิ์นี้แล้วกลับแดนเซียนเลยได้หรือไม่
“คุณหนู”
ห่างออกไปไม่ไกลนัก เสียงเรียกเบาๆ ของเสวี่ยเยี่ยนเรียกสติของหลินไต้อวี้ให้กลับคืนมาและทำให้ฉากเริงรมย์ที่นางเจอที่ใต้หน้าต่างหยุดชะงักฉับพลัน เฮ้อ นางควรบอกท่านยายให้สร้างเพิงง่ายๆ ไว้ใช้ในเวลากลางคืน จะได้ไม่ต้องมาทำอะไรๆ กันที่ใต้หน้าต่างของนาง หรือเวลาไปเดินเล่นในสวนจะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงครางกระเส่าเหล่านั้นอีก
แต่หลินไต้อวี้คิดว่าถ้านางพูดแบบนั้นออกไปจริง นางคงถูกไล่กลับหยางโจวไปเดี๋ยวนั้น แม้การกลับหยางโจวจะไม่ใช่ปัญหาเพราะได้ยินว่าบิดาของหลินไต้อวี้รักนางมาก แต่ปัญหาคือสุขภาพร่างกายของนางในเวลานี้เปราะบางอย่างที่สุด นางไม่กลัวที่จะต้องหลับตาทั้งสองข้าง แต่กลัวมากว่าถ้าไม่ยอมหลับตาในเวลาที่ควรหลับแล้ว ระหว่างทางกลับบ้านที่แสนจะยาวไกลนางจะต้องถูกบังคับให้กินอาหารแห้งคู่กับยาขมๆ นี่ต่างหากที่เป็นความทุกข์ระทมอย่างที่สุดในชีวิต นางไม่ขอย้อนกลับไปมีคืนวันที่แสนน่ากลัวถึงครึ่งปีเหมือนเมื่อตอนที่เพิ่งเข้ามาอยู่คฤหาสน์สกุลจย่าอีกเป็นอันขาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้นางได้กลิ่นอาหาร ทำให้ยิ่งไม่อยากจะไปที่ใด
ดมสิๆ กลิ่นแรกในดินแดนแห่งนี้เป็นกลิ่นหอมที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เป็นรสชาติที่หากินไม่ได้ในแดนเซียน
แต่…
“พี่สะใภ้รอง” นางเห็นแวบๆ ว่ามีคนเดินตามหลังเสวี่ยเยี่ยนมาจึงรีบลุกขึ้น
“น้องสาวไม่ต้องมากพิธี ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรว่าให้เรียกพี่เฟิ่งก็พอแล้ว” ผู้มาเยือนยิ้มจนดวงตาเรียวงามยิบหยี อากัปกิริยาสวยสง่า โดยเฉพาะปิ่นทองเต็มศีรษะนั้นเปล่งประกายจนแทบทำให้คนตาบอดได้
คนผู้นี้ชื่อว่าหวังซีเฟิ่ง เป็นสะใภ้ของท่านลุงใหญ่จย่าเซ่อและเป็นฮูหยินของพี่รองเหลียน บ่าวไพร่ในบ้านเรียกนางว่า ‘สะใภ้รองเฟิ่ง’
สาเหตุที่เรียกว่าสะใภ้รองเป็นเพราะท่านยายของนางมีลูกชายสองคน ท่านลุงใหญ่จย่าเซ่อได้รับแต่งตั้งเป็นหรงกั๋วกง แต่กลับไม่ได้พักอยู่ที่เรือนหลัก เพราะผู้ที่พักอยู่เรือนหลักคือท่านลุงรองของนางที่รับราชการตำแหน่งขุนนางที่ปรึกษาของกรมโยธา ภรรยาของท่านลุงรองแซ่เดิมว่าหวังเป็นน้องสาวของผู้ตรวจการทัพเมืองหลวง ดังนั้นเมื่อท่านยายอายุมากขึ้นจึงต้องให้สองสะใภ้รับหน้าที่ดูแลบ้าน แต่คนดูแลเรื่องเงินรายเดือนของบ่าวไพร่ทั้งหมดกลับเป็นสะใภ้รองหวังซีเฟิ่งผู้นี้