หลินไต้อวี้เดาว่าอาจเพราะหวังซีเฟิ่งเป็นหลานสาวของป้าสะใภ้รองหวังฮูหยิน ป้าสะใภ้รองจึงยกสิทธิ์ในการดูแลให้แก่นาง หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งคือถ้าอยากจะอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่าเฉกเช่นมนุษย์ผู้หนึ่ง หลินไต้อวี้ปฏิบัติต่อท่านยายอย่างไรก็ต้องปฏิบัติต่อหวังซีเฟิ่งอย่างนั้น
“วันนี้เป็นวันเกิดท่านยาย ข้าจะให้พี่สะใภ้ต้องมาดูได้อย่างไร” ระหว่างที่พูดหลินไต้อวี้ปรายตามองไปที่ด้านข้างคล้ายอยากจะถลึงตาใส่เสวี่ยเยี่ยนสักทีเพราะเคืองที่อีกฝ่ายไม่รู้จักกาลเทศะ แต่กลับเหลือบไปเห็นก่อนว่าในกล่องอาหารนั้นใส่อะไรมาด้วย สวรรค์ นางหิวจนกลืนวัวได้ทั้งตัวแล้ว นี่เรื่องจริงนะ!
“นายหญิงผู้เฒ่าให้ข้ามาเยี่ยมเจ้า” หวังซีเฟิ่งดึงตัวหลินไต้อวี้ไปนั่งที่เตียงอย่างสนิทสนมพลางพิจารณาดูนางอย่างละเอียดแล้วยิ้มอย่างใจดียิ่ง “สีหน้าดูดีกว่าเมื่อวานเยอะแล้ว แต่เหมือนจะยังแตะต้องของมันกับของคาวไม่ได้ ข้าให้คนทำอาหารง่ายๆ มานิดหน่อยกับต้มยาแล้ว อีกเดี๋ยวอย่าลืมกินด้วยล่ะ”
“ขอบคุณพี่สะใภ้มาก” นางยิ้ม ใจจริงอยากจะบอกว่าขอบคุณเพราะถ้าหากไม่มีท่าน ข้าคงไม่เหลือสีสันของความมีชีวิตอยู่อีกแล้ว
“ไม่เป็นไร เราเป็นครอบครัวเดียวกัน” หวังซีเฟิ่งให้สาวใช้ที่ตามนางมาช่วยเสวี่ยเยี่ยนนำกล่องอาหารไปวางบนโต๊ะเล็กแล้วอยู่คุยกับหลินไต้อวี้สองสามประโยค ก่อนจะพาพวกสาวใช้จากไป
ยิ่งคนเดินห่างออกไปไกลเท่าไร รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินไต้อวี้ก็ยิ่งเย็นชาและจางลง
ดูเอาเถอะ ขนาดเทพเซียนบนสวรรค์ไปที่ใดมาที่ใดยังไม่แห่เป็นขบวนหรือประดับเงินทองเหมือนอย่างอีกฝ่ายเลย ทำเหมือนกลัวคนจะไม่รู้ว่าเป็นสะใภ้คนโตของจวนหรงกั๋วกงผู้ถือครองอำนาจและสิทธิ์ในการดูแลบ้าน
“คุณหนู กินอาหารเถิดเจ้าค่ะ” เสวี่ยเยี่ยนเปิดกล่องอาหารทีละชั้นๆ แล้วหยิบ…โจ๊กหนึ่งชามกับยาหนึ่งชามออกมา
หางตาของหลินไต้อวี้กระตุกอยู่สองครั้ง แต่ ‘ตามบท’ นางต้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นั่งลงที่ข้างโต๊ะแล้วดื่มโจ๊ก…หรือจะเรียกว่าน้ำเลยก็ได้ เพราะตะเกียบของนางคนเม็ดข้าวขึ้นมาได้ไม่ถึงสองเม็ด
เสวี่ยเยี่ยนประคองชามยาขึ้นมา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนนอกแล้ว นางก็รีบเทยาออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักไม่แสดงความรู้สึกขณะเอ่ยว่า “คุณหนู ต้นกล้วยข้างนอกใกล้จะตายอยู่แล้ว พวกเราคงต้องเปลี่ยนที่เทยาทิ้งแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
“ข้าบอกแล้วว่าอย่ารักสบาย แจกจ่ายฝนให้โปรยทั่วฟ้า เจ้านี่จริงๆ เลย” ต้นไม้ดอกไม้ข้างนอกมีตั้งเยอะตั้งแยะ หนึ่งวันมียาตั้งสามชาม ค่อยๆ เวียนไปเทก็ได้ หาไม่ ต้นไม้ตายเร็วเช่นนี้ ผีเจ้าเล่ห์อย่างหวังซีเฟิ่งจะไม่สังเกตเห็นหรือ
จะว่าไป หลินไต้อวี้ไม่แน่ใจว่าตนคิดมากเกินไปหรือไม่ แต่พอเวลาผ่านไปหลินไต้อวี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าแม้จะยืนยันชัดไม่ได้ว่านี่เป็นเจตนาของหวังซีเฟิ่งเองหรือมีคนสั่งการอยู่เบื้องหลัง แต่ก็เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่านางไม่เป็นที่ต้อนรับของที่นี่
“คุณหนู เรารีบเขียนจดหมายไปหานายท่าน ให้นายท่านส่งคนมารับพวกเรากลับหยางโจวกันดีกว่าเจ้าค่ะ” เสวี่ยเยี่ยนอ้อนวอนเป็นครั้งที่ร้อยแปดแล้ว
“เจ้านึกว่าข้าไม่อยากกลับหรือ” นางดื่มโจ๊กรวดเดียวหมดแล้วรู้สึกได้ว่าท้องกำลังร้องไห้อย่างทุกข์ทรมาน
“เช่นนั้นก็ไปกันสิเจ้าคะ” เสวี่ยเยี่ยนพูดอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องลำบาก
หลินไต้อวี้ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด “เจ้าพูดง่ายนัก” นี่ยังเห็นนางตกอยู่ในสภาพน่าอนาถ จะตายมิตายแหล่ไม่พออีกหรือ
“ง่ายออกนี่เจ้าคะ พวกเราใช่ว่าจะไร้ที่ไป เหตุใดจึงต้องรั้งอยู่ที่นี่ให้ได้ด้วย”
หลินไต้อวี้เม้มปากไม่ตอบคำ สิ่งที่เสวี่ยเยี่ยนพูดมาไม่ผิด เพราะนางไม่มีความจำเป็นต้องทรมานตนเองอยู่ที่นี่จริงๆ หากทำใจแข็งสักหน่อย ยอมทนลำบากสักสองสามเดือนให้ผ่านๆ ไปก็ใช่ว่าจะมีอุปสรรคที่ผ่านไม่ได้ แต่…นางยังไม่ได้กินหนังขาหมูนึ่ง ยำหัวไช้เท้าขิงหั่นฝอย อกห่านแต้มชาด กุ้งหมักเต้าหู้ยี้ ขาหมูตุ๋น…
นึกถึงตอนแรกที่นางอ่านหนังสือไปพลาง น้ำลายไหลไปพลาง เพราะอาหารเลิศรสที่ชวนให้เฝ้าคิดคำนึงถึงไม่วาย จนถึงตอนนี้นางทนทุกข์มาร่วมสามปีแล้ว แต่กลับไม่เคยพบเห็นแม้แต่เงาของอาหารพวกนั้นสักครึ่งและไม่เคยได้กลิ่นเลยสักนิด แล้วจะให้นางตัดใจจากไปได้อย่างไร!