ตอนที่นางมาถึงคฤหาสน์สกุลจย่าใหม่ๆ กว่าจะรักษาตัวให้หายจากอาการป่วยได้ก็ไม่ง่ายเลย ด้วยวันหนึ่งอยากออกไปเดินเล่นที่สวน ผลคือไม่ระวังไปเจอฉากเริงรมย์เข้า หลินไต้อวี้ตกใจจนตัวแข็งทื่อ แต่เรื่องนี้ไม่อาจตำหนินาง เพราะเรื่องพรรค์นี้ไม่ใช่เรื่องที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปและนางยังไม่เคยพบเจอมันมาก่อนก็ย่อมต้องตกใจเป็นธรรมดา
จังหวะนั้นบังเอิญจย่าซีชุนผ่านมาพอดีจึงเดินเข้ามาเห็น แล้วดึงตัวหลินไต้อวี้จากไปเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จย่าซีชุนไม่รู้เลยว่าหลินไต้อวี้รู้สึกนับถือนางมากที่สามารถทำตัวนิ่งสงบได้เช่นนั้นทั้งๆ ที่นางเพิ่งจะอายุแค่หกขวบ ภายหลังเมื่อหลินไต้อวี้ถาม จย่าซีชุนเพียงตอบเสียงเรียบว่า ‘เห็นจนชินแล้ว’
เวลานั้นถ้าไม่ใช่เพราะสุขภาพของนางเปราะบางมาก หลินไต้อวี้ต้องกลับไปฆ่าคนสองคนที่ทำให้นางจิตหลุดแน่ๆ จวนหรงกั๋วกงช่างเป็นแหล่งอบายมุข ถึงได้ทำให้เด็กอายุหกขวบเห็นเรื่องต่ำทรามจนชินชาได้!
ทว่าหลังจากนั้นไม่นานหลินไต้อวี้ก็ได้เห็นภาพพวกนี้จนชินชาเหมือนกัน…บ่าวไพร่ของสกุลจย่าช่างร้ายกาจ เพราะต้องรู้กันก่อนว่าบ่าวไพร่ของที่นี่มีจำนวนมาก การที่เจ้านายไม่เคารพกฎบ้านและลักลอบได้เสียกันจนเป็นเรื่องสามัญอาจพูดได้อีกอย่างหนึ่งคือเป็นแม่แบบให้พวกบ่าวทำตาม สมดังคำว่า ‘เมื่อคานบนไม่ตรง คานล่างย่อมคด’ อย่างแท้จริง
ต่อมาพวกนางสองคนไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้น ในช่วงที่หลินไต้อวี้หายป่วยแล้วไม่มีอะไรทำ จย่าซีชุนก็พานางไปหาจย่าทั่นชุนเพื่อวาดภาพเล่นกัน…นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กอายุแค่นี้จะมีฝีมือวาดภาพมากเพียงนี้ แต่คนที่หลินไต้อวี้รู้สึกนับถือมากที่สุดกลับเป็นจย่าซีชุนที่เชี่ยวชาญการวาดภาพอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งของอร่อยในตำนานของสกุลจย่า จย่าซีชุนก็สามารถวาดออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวายิ่ง หลินไต้อวี้เห็นแล้วสองตาแดงก่ำและนึกอยากกลืนภาพวาดลงท้องไปให้รู้แล้วรู้รอด
ด้วยเหตุนี้ภาพวาดของจย่าซีชุนจึงกลายมาเป็นของแก้ความอยากให้หลินไต้อวี้และกลายมาเป็นกิจกรรมเล็กๆ ฆ่าเวลาของนาง
ส่วนจย่าทั่นชุนผู้ใจกล้าจับกระรอกบินในจวนได้สองตัวแล้วมอบให้จย่าอิ๋งชุนนำไปปรุงอาหาร ทำให้หัวใจของหลินไต้อวี้มีอาการดิ้นพล่านเล็กๆ
หากนางต้องพาใครสักคนกลับแดนเซียนจริงๆ ในบรรดาพี่น้องชุนทั้งสามนี้นางจะพาใครไปดีนะ
จย่าซีชุนเก่งวาดภาพ จย่าทั่นชุนเก่งล่าสัตว์ จย่าอิ๋งชุนเก่งทำอาหาร…นางขอเหมาทั้งสามคนเลยแล้วกัน!
สวรรค์รู้ดีว่าสาเหตุที่คืนวันแสนทรมานนี้ไม่อาจกดดันนางให้กระโดดบ่อน้ำและสละสิทธิ์เป็นเพราะนอกจากนางยังไม่ได้ลิ้มรสอาหารสมใจแล้ว ยังมีเรื่องของพี่น้องชุนทั้งสามนี้ด้วย!
ลองชิมดูสิ โจ๊กรวมมิตรที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่ น้ำแกงมีกลิ่นอายทะเลที่ช่วยดึงเอากลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของข้าวมรกตออกมาเสริมรสให้เนื้อปลา เนื้อสัตว์ และผักสดหลายๆ อย่าง อร่อยจนนางแทบจะกลืนลิ้นตนเอง
“ถูกปากน้องสาวหรือไม่” จย่าอิ๋งชุนลองชิมคำหนึ่งแล้วช้อนตาขึ้นถาม ดวงหน้างดงามน่าตะลึงลานทำให้จย่าทั่นชุนกับจย่าซีชุนต้องช้อนตาขึ้นมองตาม
“ร้องไห้ด้วยเหตุใดหรือ” จย่าทั่นชุนอดย่นหัวคิ้วไม่ได้ ในขณะที่จย่าซีชุนเพียงกินโจ๊กรวมมิตรต่อเงียบๆ
“อร่อยเหลือเกิน…” ฮือๆ ไม่รู้ว่านางหิวจนตาลายหรือความชื่นชอบในการกินต่ำลง นางถึงได้รู้สึกว่าโจ๊กรวมมิตรนี่อร่อยกว่าอาหารราคาแพงทั้งหลาย และไม่แน่ว่าอาหารหลายอย่างที่อยู่ในหนังสือยังสู้โจ๊กที่จย่าอิ๋งชุนตั้งใจทำมาไม่ได้ด้วยซ้ำ
จย่าอิ๋งชุนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาให้นางพลางหัวเราะ “เด็กโง่ ถ้าเจ้าชอบ พรุ่งนี้ข้ากับบ่าวหญิงจะทำอะไรเบาๆ มาให้เจ้าอีก ไม่ต้องร้องไห้”
“พี่สาว” ฮือๆ เป็นพี่สาววันเดียวเท่ากับเป็นพี่สาวชั่วชีวิต…
เสวี่ยเยี่ยนเห็นคุณหนูโผเข้าไปในอ้อมแขนของจย่าอิ๋งชุนก็เป็นต้องรีบหลับตาลง ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หลังจากที่คุณหนูเข้ามาอยู่ในบ้านแล้วล้มป่วย นิสัยของนางก็ประหลาดมากขึ้นทุกวันจนเสวี่ยเยี่ยนเริ่มชิน
จย่าอิ๋งชุนถูกอีกฝ่ายเย้าจนหัวเราะร่วน ในใจรู้สึกเวทนาหลินไต้อวี้ที่ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในบ้านก็ไม่เคยได้กินอาหารเป็นจริงเป็นจังเลย
“เป็นอะไรไป ไยน้องหลินร้องไห้ล่ะ”
น้ำเสียงนิ่มๆ ที่ดังมาจากนอกประตูทำให้พี่น้องชุนทั้งสามต้องรีบจับหลินไต้อวี้นั่งตัวตรงและลุกขึ้นเพื่อต้อนรับสะใภ้ใหญ่ของบ้านรอง หลี่หวัน
“พี่สะใภ้ใหญ่” หลินไต้อวี้เรียกเสียงสะอื้น ยิ่งเห็นกล่องอาหารลายทองที่หลี่หวันถืออยู่ในมือ น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูเหมือนทำนบพังทลายอย่างไม่อาจห้ามได้อีกครั้ง
“เป็นอะไรไป” หลี่หวันจูงบุตรชายด้วยมือข้างหนึ่งแล้วใช้มืออีกข้างหิ้วกล่องอาหาร นางส่งกล่องอาหารไปให้จย่าอิ๋งชุนก่อนยื่นมือมาดึงให้หลินไต้อวี้นั่งลง
“ข้าแค่เห็นหน้าพี่สะใภ้แล้วดีใจน่ะเจ้าค่ะ” นางตอบตามความจริง
ดูเอาเถอะ ใครต่อใครต่างเอากล่องอาหารมาให้ แล้วจะไม่ให้หลินไต้อวี้เบิกบานใจได้อย่างไร นางดีใจจนเผลอน้ำตาไหลแล้ว