บทที่ 2
หลังจากนั้นหลินไต้อวี้ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าตอนที่นางกินซาลาเปาลูกที่แปด ร่างกายที่ใช้การอะไรไม่ได้นี้จะเกิดไม่ยอมรับของอร่อยขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วอาเจียนอาหารรสเลิศออกมาจนหมด ทำให้นางป่วยหนัก
ลำพังแค่ป่วยยังพอว่าแต่นี่กลับป่วยตั้งแต่วันเกิดของท่านยายยาวไปจนถึงปีใหม่ ช่างเป็นเรื่องที่น่าอนาถจนทนดูไม่ไหว แต่ที่น่าชังมากยิ่งกว่าคือเจ้าจย่าเป่าอวี้บ้านั่นดันมาเยี่ยมนางทุกวันพร้อมเอาอาหารชั้นเลิศมาด้วย ให้นางดมได้ แต่กินไม่ได้
สวรรค์! ความเศร้าที่สุดในชีวิตของมนุษย์เป็นเช่นนี้นี่เอง!
มีของอร่อยมาอยู่ตรงหน้าแต่นางกลับไร้วาสนา ใต้หล้านี้จะยังมีเรื่องอะไรที่น่าแค้นใจไปมากกว่านี้อีกหรือไม่
“วันนี้ผินผินยังกินอะไรไม่ได้อีกหรือ”
ได้ยินเสียงใสกังวานของจย่าเป่าอวี้ดังมา หลินไต้อวี้ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรงแล้วรู้สึกเหมือนร่างกายที่เป็นโพรงดำมืดพลันมีแสงแดดส่องสว่างมาจากทิศตะวันออก จย่าเป่าอวี้ช่างงดงามปานประหนึ่งเซียนตกสวรรค์ งามสง่าไร้ที่เปรียบ เพราะในมือของเขามีสิ่งที่ช่วยเสริมเสน่ห์ให้อย่างยอดเยี่ยม
นางปรือตาจ้องกล่องมีหูหิ้วขนาดเล็กในมือของจย่าเป่าอวี้ แม้จะยังไม่ได้เปิดฝาแต่ก็ได้กลิ่นหอมของนมลอยมาทำให้หลินไต้อวี้เผลอน้ำลายสอ
“คุณชายรองเป่า ตอนนี้คุณหนูไม่เหมาะที่จะกินอะไรตามใจ ต้องให้เป็นอาหารใสๆ จืดๆ จะดีกว่า” เสวี่ยเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ช่วยพูดแทนหลินไต้อวี้ที่ป่วยจนคุยไม่ไหว
น้ำตาของหลินไต้อวี้ไหลรินลงมาสองสายอย่างเงียบงัน นางช่างน่าสงสารเหลือเกิน จริงๆ นะ ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดน่าสงสารไปกว่านางอีกแล้ว เพราะนางต้องมาป่วยเช่นนี้…นางอยากจะบอกพวกเซียนเหลือเกินว่าไม่ต้องแข่งวิ่งผลัดอะไรกันหรอก มาแข่งป่วยกันดีกว่า รับรองว่านางต้องชนะเลิศแน่
“ผินผิน วันนี้เป็นวันที่หนึ่ง พี่หยวนชุนเลยตั้งใจให้คนนำซูเล่าเคี่ยวน้ำตาล จากในวังมาให้ ตอนแรกข้าว่าจะเอามาลองกินกับเจ้า” จย่าเป่าอวี้พูดด้วยสีหน้าเสียดาย “นี่เป็นของดีที่คนทั่วไปหากินไม่ได้ ถ้าหากพี่สาวไม่ได้อยู่ในวังคงไม่มีทางได้มา”
ซูเล่าเคี่ยวน้ำตาลของพระราชทาน…หลินไต้อวี้ได้ยินแล้วก็จ้องตาเขม็ง
ได้ยินว่าซูเล่าพระราชทานมีความเข้มข้น สดใหม่ นุ่มเนียนละเอียด เข้าปากแล้วก็ละลาย หวานแต่ไม่เลี่ยน พอเข้าไปในคอจะได้กลิ่นหอมนมและน้ำตาล…หลินไต้อวี้นึกวาดภาพในสมองแล้ว รู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะสำลักน้ำลายตาย
วันที่หนึ่ง…วันที่หนึ่งแล้ว เหตุใดนางถึงยังป่วยอยู่อีก คงไม่ใช่ว่าในอาหารที่ส่งมาที่ห้องนางมียาพิษผสมหรอกนะ หาไม่จะมีผู้ใดที่ป่วยยาวเหมือนนาง ได้แต่นอนติดอยู่กับเตียงเช่นนี้!
นางอยากกิน! ไม่สนแล้ว ต่อให้กินแล้วต้องป่วยอีกรอบ นางก็จะกิน!
ไหนๆ ก็ป่วยมาตลอด นางขอกินก่อนแล้วค่อยป่วยต่อดีกว่า อย่างน้อยจะได้ป่วยแบบสบายอารมณ์เพราะมีรสอร่อยติดลิ้นอยู่ในช่วงที่กำลังเจ็บ!
จังหวะที่หลินไต้อวี้กำลังจะบอกให้จย่าเป่าอวี้ทิ้งซูเล่าไว้ นางกลับเห็นเขาหันไปพูดกับพวกสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังว่า “ในเมื่อผินผินไม่มีวาสนาได้ชิม พวกเจ้าก็เอาไปกินกันที่ศาลาเถอะ”
นี่! เจ้าปีศาจดอกท้อ เจ้าชอบข้าไม่ใช่หรือ!
หลินไต้อวี้ด่ากราดอย่างไร้เสียง ก่อนจะรู้สึกว่าตนกำลังผรุสวาทอย่างไร้เหตุผล เมื่อนึกได้ว่าจย่าเป่าอวี้เป็นพวกเจ้าชู้มากรักอยู่แล้ว มีคนใดในสกุลจย่าที่ไม่ชอบเขาบ้าง หากไม่ใช่เพราะจย่าเป่าอวี้อายุยังน้อย ไม่แน่ว่าเขาอาจเจริญรอยตามพวกพี่เจิน พี่หรง หรือพี่รองเหลียนที่เที่ยวเด็ดบุปผาเล่นใบหญ้า ในคฤหาสน์สกุลจย่าก็ได้
เอ๋? ไม่สิ เขาน่าจะยุ่งกับพวกนั้นเรียบร้อยแล้วต่างหาก เพราะเวลานี้จย่าเป่าอวี้อายุสิบสองปี หนังสือที่นางอ่านบอกว่าคนที่เขามีอะไรๆ ด้วยเป็นสาวใช้ส่วนตัวที่เป็นฝ่ายเข้าหาจย่าเป่าอวี้เอง…สาวใช้ประจำตัวที่เขากวาดเรียบเสียจนเหนื่อยหอบพวกนั้นอายุน่าจะมากกว่าเขาสองสามปี แต่ละคนล้วนเป็นพวกจันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมทั้งสิ้น