บทที่ 5
จี้ไหวเหมือนจะรู้ตัวว่าตนเสียกิริยาจึงรีบบอกว่า “คุณหนู เฟิ่งปาเป็นบ่าว มีสัญญาทาสอยู่กับตัว ไหนเลยจะอาจเอื้อมดอกฟ้าอย่างคุณหนูได้”
“ทิ้งสัญญาทาสไปก็ใช้ได้แล้ว” เรื่องเล็กแค่นี้นางคิดได้ตั้งนานแล้วล่ะ
“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ สกุลจี้เป็นบ่าวของสกุลหลิน เรื่องนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
“แต่…”
“คุณหนู เรื่องนายกับบ่าวแต่งงานกันเป็นเรื่องที่ไม่มีวันเป็นไปได้ ยิ่งนายหญิงผู้เฒ่าออกปากอนุญาตเรื่องการแต่งงานของท่านแล้วยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เข้าไปใหญ่ เพราะถึงอย่างไรท่านก็เป็นท่านยายของคุณหนูนะขอรับ”
“แต่…”
“หากคุณหนูจะล้มเลิกงานแต่ง ต่อไปเกรงว่าจะหาคู่แต่งงานไม่ได้อีก” สีหน้าของจี้ไหวเครียดหนัก
“เช่นนั้นก็ดีสิ!” ดีมากเลย นางจะได้เป็นคุณหนูของคฤหาสน์สกุลหลินตลอดไป เพราะถึงอย่างไรคฤหาสน์สกุลหลินก็เลี้ยงนางได้อยู่แล้ว
“คุณหนู สตรีเติบใหญ่ต้องแต่งงาน หรือคุณหนูจะปล่อยให้นายท่านที่อยู่ในปรภพต้องร้อนใจล่ะขอรับ”
หลินไต้อวี้เบะปาก ทำท่าน่าสงสาร
“คุณหนู การแต่งเข้าสกุลจย่าใช่ว่าจะไม่ดี เพราะถึงอย่างไรสกุลจย่าก็เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง ยิ่งถ้าได้รับความรักใคร่จากคุณชายรองเป่าก็เท่ากับได้รับการสนับสนุนจากนายหญิงผู้เฒ่าด้วย อยู่คฤหาสน์สกุลจย่าเรียกลมย่อมได้ลม เรียกฝนย่อมได้ฝน เทียบกับการแต่งเข้าสกุลอื่นถือว่าดีกว่ากันมากนัก” จี้ไหวคุกเข่าลงตรงหน้านางพร้อมชี้แจงอย่างละเอียด “ถึงอย่างไรก็ต้องแต่ง แล้วเหตุใดจึงไม่แต่งกับคนคุ้นเคยกันล่ะขอรับ อีกอย่างคุณชายรองเป่าก็นิสัยไม่เลว ดีกว่าพวกลูกเศรษฐีคนอื่นๆ เยอะ”
“หา? เขาน่ะหรือดีกว่าพวกลูกเศรษฐีคนอื่นๆ”
“พวกลูกเศรษฐีที่เมืองหยางโจวดีแต่สร้างเรื่องทั้งวัน ทั้งกลั่นแกล้งผู้อื่น มีเรื่องกันกลางถนน ฉุดคร่าสตรี ถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้เป็นประจำ ที่รวมหัวกันฆ่าคนก็มีไม่น้อย”
หลินไต้อวี้เบิกตาโต นางเพิ่งเข้าใจว่าลูกเศรษฐีมีการแบ่งระดับ แล้วจย่าเป่าอวี้จัดว่าเป็นลูกเศรษฐีชั้นดีในบรรดาลูกเศรษฐีชั้นเลว เพราะเขายังทำอะไรอยู่ในร่องในรอยและมีมารยาท…นี่เรียกได้ว่านางได้รับบทเรียนแล้ว
“ข้ารู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่เลว และถ้าคุณหนูจะแต่งเข้าสกุลจย่า ข้าก็จะส่งคนจำนวนหนึ่งเข้าไปช่วยดูแลคุณหนูในคฤหาสน์ด้วย จะไม่มีทางยอมปล่อยให้คุณหนูต้องถูกรังแกในคฤหาสน์สกุลจย่าเด็ดขาด” แม้คุณหนูจะไม่ได้เล่าให้เขาฟัง แต่เสวี่ยเยี่ยนก็เล่าเรื่องทุกอย่างในสกุลจย่าให้บิดารู้อย่างไม่มีตกหล่นเลยสักคำ ทำให้จี้ไหวโกรธจนแทบจะพังโต๊ะไม้พะยูงหอมให้พังในคืนนั้น แต่ถูกภรรยาจับบิดหูเสียก่อน
“แต่หยางโจวกับจินหลิงอยู่ห่างกันมาก หากข้าคิดถึงบ้านแล้วจะทำอย่างไร” ความหมายคือถ้านางอยากหนีออกจากคฤหาสน์สกุลจย่าย่อมไม่สะดวก
“เรื่องนี้มีอะไรยาก พวกเราสามารถย้ายไปอยู่ที่เมืองจินหลิงและซื้อที่ดินเพื่อปักหลักได้อยู่แล้ว”
“ได้หรือ”
“ได้แน่นอนขอรับ แม้นายท่านจะไม่อยู่ แต่พวกเรายังคงเป็นครอบครัวฝ่ายมารดาของคุณหนู ย่อมต้องไปอยู่ข้างๆ จะได้ดูแลกันใกล้ๆ” จี้ไหวหยิบผ้าเช็ดมือออกมาเช็ดรองเท้าผ้าปักลายดอกไม้ที่เปื้อนฝุ่นให้หลินไต้อวี้ “หลายปีมานี้ข้ากับนายท่านบุกเบิกที่ดินกันเอาไว้เยอะ ที่ซูโจวเรียบร้อยแล้ว ที่หยางโจวก็ได้ที่นามาหลายร้อยหมู่ ถ้าไปจินหลิงจะได้ทำการค้าอย่างอื่นอีก”
“ไม่นะ ไม่ๆ ปลูกข้าวต่อไปนั่นแหละ ปลูกข้าวมรกตด้วย” หลินไต้อวี้เคยลิ้มรสอร่อยของข้าวมรกตที่คฤหาสน์สกุลจย่ามาแล้ว ยังคงรู้สึกคิดถึงไม่เว้น
“ข้าวมรกตเป็นข้าวบรรณาการ ถ้าจะปลูกเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ขอเพียงคุณหนูต้องการ ข้าจะต้องหาทางทำให้สำเร็จให้ได้” จี้ไหวพูดด้วยน้ำเสียงสำรวม แต่สมองกำลังวิ่งเร็วจี๋ว่าจะไปหาซื้อพันธุ์ข้าวมรกตมาจากที่ใด