บทที่ 6
“เจ้าตกลงแล้วมิใช่หรือ”
“นั่นมันเรื่องในอีกสี่ปีให้หลังมิใช่หรือ” หลินไต้อวี้เข้าใจว่าการกลับไปที่คฤหาสน์สกุลจย่าครั้งนี้คือการกลับไปคอยให้นางเข้าพิธีปักปิ่น* ก่อนแล้วค่อยแต่งงาน…มันต้องเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ
“เจ้านึกว่าข้าจะอดทนคอยเวลาอีกสี่ห้าปีได้หรือ” จย่าเป่าอวี้ใช้มือเท้าคางอย่างเหนื่อยใจ “เราแต่งงานกันก่อน คอยให้เจ้าปักปิ่นแล้วค่อยเข้าหอ”
หลินไต้อวี้ตาโต ชั่วขณะนั้นใบหน้าน้อยๆ ก็พลันร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม
จย่าเป่าอวี้ตะลึงงัน เนตรดอกท้อแพรวพราวจ้องหน้านางตาไม่กะพริบ แต่พอเห็นหลินไต้อวี้ถลึงตาใส่เขาอย่างดุดัน จย่าเป่าอวี้ไม่เพียงไม่รู้สึกหงุดหงิดแต่กลับรู้สึกว่าหน้าดุๆ ของนางแลดูมีเสน่ห์เย้ายวนใจยิ่งกว่าที่เคย
“ท่านมองอะไร!”
เจ้าเด็กหน้าเหม็นไร้ยางอาย อายุเพิ่งจะเท่าไรแต่กลับพูดคำว่า ‘เข้าหอ’ ออกมาได้
สมแล้วที่เป็นตัวบัดซบที่เป็นผลผลิตของสกุลจย่ามากราคะ บ้าตัณหาโดยเนื้อแท้!
“ยากนักที่เจ้าจะหน้าแดง ข้าเลยอยากมองให้นานหน่อย”
หลินไต้อวี้ด่าแบบไร้เสียงว่า ‘สารเลว’ นางเช็ดแก้มแรงๆ ทำหน้าเครียด “ถึงการคุยเรื่องเงื่อนไขตอนนี้ออกจะช้าไปสักหน่อย แต่ข้าว่ามันน่าจะยังทันนะ”
“เงื่อนไขอะไร”
“คอยให้ข้าปักปิ่นเมื่อไร ท่านต้องหย่าข้า”
“หย่าเจ้า?”
“ถูกต้อง ถึงอย่างไรตอนนั้นท่านก็น่าจะได้สิ่งที่ท่านต้องการแล้ว จะมีหรือไม่มีข้าย่อมไม่ต่างกัน” หลังจบเรื่องหลินไต้อวี้จะกลับคฤหาสน์สกุลหลินไปให้ท่านอาจี้เลี้ยง ถึงตอนนั้นค่อยดูอีกทีว่าจะอยู่ที่เมืองจินหลิงหรือหยางโจว
จย่าเป่าอวี้หรี่ตาลง “เจ้าไม่พอใจข้าตรงที่ใด”
ใต้หล้านี้มีสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงานแต่กลับพูดเรื่องหย่าออกมาอย่างกำหนดเวลาชัดเจนด้วยหรือ…นางเห็นเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานเป็นแค่การแสดงละคร หรือมองไม่เห็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงอย่างสกุลจย่าอยู่ในสายตากันแน่
“ท่านสมควรถามว่าท่านมีตรงใดให้ข้าพอใจมากกว่า” หลินไต้อวี้พูดพลางยิ้มหวาน
“เช่นนั้นเจ้าก็บอกมาสิว่าข้าต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะพอใจ” จย่าเป่าอวี้สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“คนมีสมองสักเล็กน้อยย่อมรู้ว่าต้องเอาใจข้าอย่างไร” นี่เป็นเรื่องจริง เพราะเขาไม่รู้จักใส่ใจเอง หาไม่การที่เขาตามไปกินนั่นนี่กับนางมาตั้งแต่เมืองหยางโจวก็น่าจะรู้ได้แล้วว่าของอร่อยคือสิ่งที่ทำให้นางหวั่นไหวได้ แต่เสียดายที่นางเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่เขาไม่คิดจะใส่ใจ
จย่าเป่าอวี้โกรธจนกลายเป็นขำ “ที่เจ้าชอบยั่วโทสะข้าเช่นนี้เพราะอยากให้ข้าสนใจเจ้าใช่หรือไม่”
“หยุดเลย เลิกคิดเหลวไหลได้แล้ว ข้าเป็นคนตรง พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องมาตีความความคิดของข้า เพราะข้าไม่ได้สนใจท่านสักนิด” แม้ทุกคนจะชอบคนหน้าตางดงาม แต่ปัญหาคือสิ่งที่หลินไต้อวี้ให้ความสนใจคือสิ่งที่กินได้ จย่าเป่าอวี้ซึ่งเป็นคนโง่เง่าที่กินไม่ได้และทำอาหารไม่เป็นจึงไม่ต่างอะไรกับก้อนหินสำหรับนาง
“แต่ยิ่งเจ้าไม่สนใจข้า ข้ายิ่งสนใจเจ้า” จย่าเป่าอวี้ยิ้มตาหยีโดยไร้ความจริงใจอย่างสิ้นเชิง “อีกสี่ปีให้หลังข้าจะไม่หย่าเจ้า ตรงกันข้ามข้าจะทำให้เจ้าไม่อาจไปจากข้าได้ เช่นนี้น่าตื่นเต้นดีใช่หรือไม่ ในเมื่อเจ้ากล้าท้าทายข้า ข้าย่อมตอบแทนเจ้าแน่นอน”
“นี่…” คนผู้นี้จะไม่ยอมเข้าใจอะไรโดยง่ายเลยหรือ
“จริงสิ หากเจ้าไม่อยากกลับคฤหาสน์สกุลจย่า เช่นนั้นข้าจะอยู่ที่นี่อีกสักระยะหนึ่งก็ได้ เอาไว้เจ้าตัดสินใจว่าจะกลับเมื่อไรข้าค่อยกลับ ข้าจะทำให้เจ้ารู้ตั้งแต่ตอนนี้ว่าข้าเป็นคนรักภรรยา แล้วเจ้าก็คอยดูไว้เถอะว่าข้ารักได้มากเพียงใด” กล่าวจบจย่าเป่าอวี้ก็ก้าวยาวๆ ออกไป แต่จังหวะที่ก้าวออกนอกประตูเขาก็ยังหันมาส่งยิ้มสดใสราวดอกท้อกลางสายลมวสันต์ให้นาง รอยยิ้มนั้นเหมือนจะทำให้ความหนาวเหน็บที่ด้านนอกพลันสลายหายไป
หลินไต้อวี้ขนลุกกรูเกรียวขึ้นมาเป็นระลอกจนต้องถูแขนตนเองแรงๆ
น่าชังนัก! เจ้าปีศาจตนนี้ก้าวหน้ารวดเร็วเหลือเกิน ยิ่งโตยิ่งร้าย!
นางน่าจะเก็บปากเก็บคำหน่อย ไม่ใช่ไปพูดยั่วเขาทุกสองวันสามวันจนกลายเป็นภัยเข้าตัว เช่นนี้มันได้ไม่คุ้มเสียชัดๆ