เมื่อจย่าเป่าอวี้พูดออกไปแล้วย่อมต้องทำ เห็นอยู่ว่าคฤหาสน์สกุลหลินหลังใหม่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ในขณะที่คฤหาสน์สกุลจย่าตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก เพียงนั่งรถม้าหนึ่งเค่อ* ก็ถึง แต่เขากลับไม่ยอมกลับบ้านตนเองและทำหน้าหนาอยู่ที่นี่ต่อไปโดยที่ไม่มีใครในบ้านกล้าไล่เขา ซ้ำเขายังวางท่าท่านเขยเที่ยวชี้นิ้วสั่งบ่าวไพร่อย่างถือวิสาสะ เหมือนคนเสเพลไม่มีผิด!
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ท่านอาจี้กลับชื่นชมจย่าเป่าอวี้ บอกว่านายหน้าที่หลี่กุ้ยหามาช่วยคัดบ่าวไพร่ให้ได้ดีมาก ทุกคนล้วนอยู่ในกฎระเบียบ อีกทั้งยังเล่าว่าหลี่กุ้ยหานายหน้าช่วยซื้อที่ดินและหาต้นกล้าข้าวมรกตมาให้ ตอนแรกเขานึกว่าเป็นเพราะความละเอียดรอบคอบของหลี่กุ้ย ต่อมาถึงได้รู้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะจย่าเป่าอวี้ให้หลี่กุ้ยใช้เส้นสายซื้อหามา
สิ่งสำคัญที่สุดคือหลี่กุ้ยสามารถเก็บงำเรื่องการย้ายบ้านมาที่เมืองจินหลิงของสกุลหลินได้เป็นอย่างดี ขอเพียงคุณชายของเขามีคำสั่ง รับรองว่าเรื่องของสกุลหลินไม่มีทางรู้ไปถึงสกุลจย่าเด็ดขาด
ท่านอาจี้บอกว่าจย่าเป่าอวี้เป็นคนฉลาดและมีความสุขุมรอบคอบ
ก็จริง เขาเป็นคนฉลาด…และเป็นตัวไร้ค่าที่เก่งเรื่องแกล้งคนด้วย!
ฮ่าๆ คิดจะใช้เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มาซื้อนางหรือ หนทางยังอีกไกลนัก เอาไว้วันใดจย่าเป่าอวี้สามารถทำอาหารโต๊ะหนึ่งออกมาได้ นางจะมอบชีวิตให้เขาเลย!
หลินไต้อวี้คร้านจะสนใจคนสองหน้า นางใช้ชีวิตอย่างแสนสุขอยู่ที่บ้าน คอยให้จี้เฟิ่งปาทำอาหารเลิศรสมาให้กินจนพุงกาง แม้อากาศข้างนอกจะหนาวจัดจนหิมะเกาะลูกเห็บตก แต่นางยังขดตัวอยู่ในห้องที่มีอ่างไฟได้ทุกวันและนอนหลับอย่างสบาย เพราะเรื่องจิปาถะในบ้านล้วนมีสกุลจี้ที่นางไว้วางใจที่สุดคอยช่วยดูแลแล้ว
นี่สิจึงจะเป็นชีวิตของคุณหนูผู้สูงศักดิ์! นี่สิจึงจะเป็นชีวิตอย่างที่นางตั้งใจไว้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสกุลจย่าที่ทำตัวประหลาด นอกบททำให้หลินไต้อวี้ต้องได้รับความลำบาก
นางอยากอยู่ที่นี่ เป็นคุณหนูของสกุลหลินไปชั่วนิรันดร์
แต่แน่นอนว่าได้แค่คิดเท่านั้น
เพราะหลินไต้อวี้รู้ดีว่าตนสามารถอยู่ที่นี่ได้แค่ชั่วคราว แต่เพราะอยู่ได้แค่ชั่วคราวนางจึงทะนุถนอมช่วงเวลาที่แสนสุขที่ได้มาไม่ง่ายนี้อย่างมาก
“เจ้าทำหน้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” ภายในรถม้าจย่าเป่าอวี้ถามเสียงเย็น
“ไม่มีอะไร” หลินไต้อวี้มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าโศกสลด รู้สึกเหมือนความสุขกำลังห่างจากตนเองออกไปทุกทีๆ แต่พอเหลียวไปมองจี้เฟิ่งปากับเสวี่ยเยี่ยนที่กำลังตามมาแล้วนางค่อยรู้สึกสบายใจขึ้น
ไม่ว่านางจะพยายามยืดเวลาออกไปอย่างไรก็ไม่มีทางยืดไปจนเลยปีใหม่ เพราะจย่าเป่าอวี้ต้องกลับไปฉลองปีใหม่ที่จวน ดังนั้นหลินไต้อวี้จึงถูกบังคับให้ขึ้นรถอย่างน่าสงสาร
“ทำหน้าเสียอกเสียใจไปด้วยเหตุใด หรืออยากให้พี่ชายโอ๋เจ้า?”
หลินไต้อวี้ได้สติ แต่จย่าเป่าอวี้มานั่งข้างกายนางแล้ว นางจึงถลึงตาใส่เขาอย่างไม่เกรงใจ มือน้อยๆ ยกขึ้นยันหน้าอกเขา แม้นางจะอายุยังน้อยและตัวเล็กมาก แต่สีหน้าของนางในยามนี้แจ่มใสดี หากต้องเปรียบมวยกันรับรองว่านางไม่แพ้แน่ เพราะร่างเล็กๆ นี้เป็นถึงเทพปีมะเส็งเชียวนะ!
จย่าเป่าอวี้ไม่มีสีหน้าหวาดหวั่น เพียงจ้องมองนางอย่างสนอกสนใจพักใหญ่ “เทียบกับตอนอยู่คฤหาสน์สกุลจย่า ตัวเจ้าในตอนนี้ดูตรงไปตรงมากว่าเยอะเลย”
“พูดได้ดี คุณชายรองเป่าก็ไม่แพ้กันหรอก” ตอนแรกหลินไต้อวี้คิดจะพูดว่าพอเขาออกจากคฤหาสน์สกุลจย่ามาแล้วก็เหมือนหลุดออกจากการควบคุม ถึงได้สำแดงด้านที่ชั่วร้ายที่สุดของตนออกมา
“เวลานี้ข้ารู้สึกพอใจมากขึ้นทุกที” จย่าเป่าอวี้พูดอย่างไม่มีที่มาที่ไป
“พอใจอะไร” หลินไต้อวี้ชักเริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดี
“เจ้าอย่างไรล่ะ ต่อไปเมื่อมีเจ้าแล้วต้องไม่เบื่อแน่ พี่ชายกำลังตั้งตารอจริงๆ”
“บ้า” นางถลึงตาใส่เขา พูดกันตามจริงนางก็ไม่รู้ว่ายุคนี้มันเป็นอย่างไรถึงได้บังคับให้เด็กผู้หญิงอายุสิบเอ็ดปีผู้หนึ่งต้องมอบกายถวายชีวิตให้เขา แม้จย่าเป่าอวี้จะบอกว่าเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่หลินไต้อวี้ไม่เชื่อ
“ยกยอกันเกินไปแล้ว”
“ผู้ใดยกยอท่าน ข้ากำลังดูแคลนท่านอยู่ต่างหาก!”
“ขอเพียงเป็นสิ่งที่ผินผินเอ่ยมา ย่อมเป็นคำชมเสมอ”
จย่าเป่าอวี้ยิ้มอย่างรักใคร่แต่กลับทำให้หลินไต้อวี้โมโหจนแทบอยากผลักเขาให้ตกรถม้า เสียดายที่รถม้าหยุดก่อนเพราะถึงคฤหาสน์สกุลจย่าแล้ว
เมื่อเข้าไปด้านใน กองทัพที่ออกมาต้อนรับนั้นน่าตื่นตกใจอย่างมาก
ยังไม่ต้องพูดถึงบ่าวหญิงอาวุโสและสาวใช้รุ่นใหญ่จำนวนแปดคนที่คอยรับใช้จย่าเป่าอวี้ เพราะสาวใช้รุ่นใหญ่จำนวนแปดคนที่ติดตามอยู่ข้างกายป้าสะใภ้รองกับสาวใช้รุ่นใหญ่จำนวนหกคนที่ติดตามอยู่ข้างกายท่านยายต่างส่งเสียงกรีดร้องพลางร้องบอกกันให้ทั่วว่า “คุณชายรองเป่ากลับมาแล้ว”
หลินไต้อวี้ได้ยินเสียงดังอื้ออึงตั้งแต่เดินประตูไปจนถึงหน้าเรือนทิศเหนือของท่านยาย…ไม่รู้ว่าพวกนางจะคอแห้งกันหรือไม่