ขนมโก๋มันเทศไส้พุทรากวน ขนมแป้งเกาลัดเคลือบดอกกุ้ยเคี่ยวน้ำตาล ขนมโก๋อ่อนม้วน…ง่ำๆๆๆ นี่สิรสโอชาในโลกหล้า สวรรค์รู้ดีว่าตอนที่นางตรงดิ่งมาในนิทานโบราณ นางต้องเฝ้ามองของอร่อยน้ำลายไหลย้อยอยู่แค่ไกลๆ แต่วันนี้นางไม่ต้องน้ำลายไหลอีกแล้ว เพราะสามารถส่งผ่านรสอร่อยเข้าปากได้อย่างเต็มที่
แสนสุขใจหาใดเปรียบจริงๆ ชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจอีกต่อไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้คอยจนหลินไต้อวี้กินอิ่ม นางเพิ่งรู้สึกตัวว่าวันแต่งงานได้ถูกกำหนดเรียบร้อย เป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณชายรองเป่าในปีหน้า นี่ทำให้นางกลายเป็นคู่หมั้นของเขาอย่างสมบูรณ์
หลินไต้อวี้ไม่รู้สึกแปลกใจ เพียงแต่รู้สึกงุนงงอยู่บ้างว่าที่แท้สกุลจย่าก็นิยมให้เด็กแต่งงานกันจริงๆ แต่นั่นอาจเป็นเพราะท่านยายมุ่งมั่นที่จะช่วยคุณชายรองเป่ารวบสินเดิมของนาง ยิ่งเวลานี้หลินไต้อวี้กำลังตกพุ่มกำพร้า ถ้าไม่ฉวยโอกาสแต่งนางตั้งแต่ตอนนี้ เกิดนางด่วนตัดช่องน้อยแต่พอตัวจากไป สมบัติทั้งหมดย่อมไม่ตกถึงมือเขา
หลังจบงานเลี้ยงที่ฉากหน้าดูดีแต่แอบมีคลื่นใต้น้ำโหมกระหน่ำ จย่าเป่าอวี้ก็ส่งหลินไต้อวี้กลับห้องท่ามกลางสายตาคมปลาบที่คอยเหลือบมองมาเป็นระยะ ดูเหมือนเขาจะใช้ใบหน้ายิ้มแย้มทั้งหมดของวันนี้ไปกับงานเลี้ยงเล็กๆ เรียบร้อยจึงเหลือแต่หน้าเหม็นๆ ที่พร้อมจะระเบิดอารมณ์ให้นาง ทำให้หลินไต้อวี้ต้องทอดถอนใจให้แก่ความสามารถในการเปลี่ยนสีหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีใครเทียบได้ของเขา นางหวังเหลือเกินว่าจย่าเป่าอวี้จะมีเวลาว่างเอาความสามารถอันนี้ไปหลอกหลอนผู้อื่นบ้าง
“ข้าเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าผินผินเป็นพวกตะกละ” ก่อนจากไปเขาทิ้งประโยคนี้เอาไว้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ชิ…ตะกละแล้วไปขวางทางท่านหรือไร” ตอนอยู่กับหญิงอื่นจย่าเป่าอวี้เป็นคนปากหวานช่างฉอเลาะ แต่เหตุใดพออยู่กับหลินไต้อวี้แล้ว เขากลับพูดจาจิกกัดได้ทุกคำ
“ครั้งหน้าถ้าเจ้ากล้าเมินข้าอีก ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าข้ารักเจ้ามากเพียงใด” กล่าวจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป เสื้อคลุมสีแดงสดปักลายนกอินทรีต้องลมเย็นพัดแรงเสียงดังพึ่บพั่บ
“นิสัยไม่ดี!” หลินไต้อวี้บ่นอุบ เขานึกว่านางเป็นตุ๊กตากระดาษหรือ ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้นางได้กินอาหารอย่างมีความสุขมาก รับรองว่าไม่มีทางยอมจบกับเขาโดยง่ายแน่!
เวลากินอาหารต้องมีสมาธิ ใช้ใจซึมซาบความรู้สึกและซาบซึ้งในทุกคำที่สวรรค์ประทาน ไหนเลยนางจะมีเวลาไปสนใจพายุหิมะโหมกระหน่ำหรือดาบน้ำแข็งด้านนอก ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าใครที่นั่งอยู่ข้างๆ! เรื่องนี้มันสำคัญนักหรือ ไม่สำคัญเลยสักนิดต่างหาก เวลากินข้าวมีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นที่เป็นใหญ่ ผู้อื่นนั้นไซร้ เชิญไสศีรษะไปไกลๆ!
หลินไต้อวี้นึกฉุน แต่พอปรายตาไปมองกลับเห็นเสวี่ยเยี่ยนกับจี้เฟิ่งปาเหมือนจะกำลังเม้มปากกลั้นยิ้มกันอยู่
“พวกเจ้าทำท่าทางเช่นนี้หมายความว่าอะไร” สมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน ทำท่าทางเหมือนกันไม่มีผิด!
“คุณชายรองเป่าได้ลิ้มรส แล้ว” จี้เฟิ่งปาช่วยชี้เป้าให้อย่างเจตนาดี
“ลิ้มรสอะไร”
“พี่ใหญ่ ข้าจะบอกให้นะว่าคุณหนูไม่เคยเปิดสมองรับรู้เรื่องอะไรเช่นนี้หรอก” เสวี่ยเยี่ยนระบายลมหายใจอย่างอ่อนใจ
หลินไต้อวี้ช้อนนัยน์ตาสุกใสขึ้นมอง “อยากให้ข้าช่วยเปิดสมองให้เจ้าบ้างหรือไม่”
จบคำค่อนแคะร่างบางก็หมุนตัวเดินเข้าห้องไปอย่างคร้านจะสนใจผู้ใดอีก เพียงรำลึกถึงรสชาติอร่อยล้ำเมื่อตอนเย็น หลินไต้อวี้ก็รู้ว่านางคงคิดถึงอาหารรสเลิศนี้ไปอีกนานแสนนาน แต่ไม่เป็นไร นางยังมีพี่จี้อยู่ย่อมพอแก้อยากไปได้
ว่าแต่…ลิ้มรส? เจ้าคนผู้นั้นไปลิ้มรสที่ใดหรือได้ลิ้มรสเพราะใคร
ช่างพิลึกจริง!