แต่เรื่องพิลึกยิ่งกว่ากลับคอยอยู่ข้างหลัง กว่าปีนี้จะผ่านไปได้ก็ไม่ง่ายเลย คฤหาสน์สกุลจย่ามีงานฉลองปีใหม่กันอีกครั้ง หลินไต้อวี้ไปหาจย่าเป่าอวี้เพราะเข้าใจว่าเขาจะต้องมีของอร่อยเยอะแยะแน่ๆ แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะขี้งกถึงขนาดไม่ยอมให้นางดื่มน้ำชาเลยสักอึก ซ้ำยังไล่นางไปให้พ้นอีก เสียงหัวเราะเยาะจากพวกสาวใช้ในเรือนพักของเขา ทำให้หลินไต้อวี้โกรธจนเลิกสนใจเขา
จนถึงวันที่สามหลินไต้อวี้ไปหาพวกจย่าอิ๋งชุนเพื่อพูดคุยความในใจกับพี่น้องชุนทั้งสาม แล้วอยู่กินอาหารที่จย่าอิ๋งชุนทำจนประมาณเที่ยงก็มีข่าวบอกว่าจย่าเป่าอวี้ไม่สบาย
ได้ยินว่าเขาป่วยหนักมากจนกระอักเลือดและล้มฟุบลงไปบนพื้น ทำเอาฮูหยินผู้เฒ่าจย่าขวัญหายจนล้มป่วยไปอีกคน หวังฮูหยินมือเท้าลนลาน กลายเป็นหวังซีเฟิ่งที่รีบส่งคนรับใช้ให้ไปตามหมอ เมื่อตรวจดูอาการก็พบว่าเขาเป็น…
“เป็นโรคตรอมใจ อีกทั้งร่างกายต้องลม”
“นี่เป็นหนักมากเลยหรือ” หลังฟังข่าวจากจย่าทั่นชุนจบ หัวคิ้วของหลินไต้อวี้ก็ขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ไม่ได้หนักมากหรอก”
“ถ้าไม่หนักแล้วเพราะเหตุใดในบ้านจึงโกลาหลกันเช่นนี้” จู่ๆ คฤหาสน์สกุลจย่าก็มีนักพรตจำนวนมากเข้ามาและยังมีพระภิกษุเข้ามาสวดมนต์ด้วย ดูแล้วไม่เหมือนการรักษาโรค แต่เหมือนการประกอบพิธีปลงศพมากกว่า
“เพราะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ไม่ว่าจะกินยาชนิดใดพี่รองก็ไม่ดีขึ้น สีหน้าก็แย่ลงทุกที ท่านย่ากังวลกระทั่งนอนไม่หลับจนวันนี้ท่านแม่ต้องกึ่งบังคับกึ่งปลอบท่านให้กลับไปพักผ่อนก่อน” ท่านแม่ที่จย่าทั่นชุนพูดถึงคือหวังฮูหยิน แม้กฎหมายจะไม่ได้ระบุเอาไว้ แต่กฎของตระกูลใหญ่ระบุว่าบุตรของภรรยาเอกและอนุล้วนต้องถือว่าเป็นบุตรของภรรยาเอก ด้วยเหตุนี้จย่าทั่นชุนจึงชินกับการนับหวังฮูหยินเป็นมารดา และไม่ได้ให้ความสำคัญกับจ้าวอี๋เหนียงที่เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดสักเท่าใด
“เช่นนั้นหรือ…” หลินไต้อวี้ย่นหัวคิ้ว รู้สึกกระสับกระส่าย
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร นางเพิ่งถูกคุณชายรองเป่าพาตัวกลับมาที่จวนแท้ๆ เกิดเขาเป็นอะไรไป หลินไต้อวี้ย่อมไร้ที่พึ่ง และในคฤหาสน์สกุลจย่ามีคนจำนวนมากที่สามารถบีบนางให้ตายได้ง่ายดาย
คิดมาคิดไป ในที่สุดหลินไต้อวี้ก็ตัดสินใจไปเยี่ยมเขา
จย่าเป่าอวี้พักอยู่ในเรือนข้างอีกหลังหนึ่งของสวนทิศเหนือ แค่เดินผ่านถนนเล็กสองสามสายกับข้ามสะพานจันทร์เสี้ยวไปก็ถึง
เพียงแต่ตอนที่นางกับพี่น้องชุนทั้งสามมาถึงที่หน้าห้องนอนก็ถูกพวกสาวใช้กันเอาไว้ หลินไต้อวี้มองพวกนางแล้วคิดว่าน่าจะเป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ที่อยู่ข้างกายท่านป้าสะใภ้รอง คนหนึ่งคือจินช่วน อีกคนคืออวี้ช่วน นี่หมายความว่าป้าสะใภ้รองจะต้องอยู่ในห้อง ทำให้หลินไต้อวี้รู้สึกลังเลว่านางควรหันหลังกลับดีหรือไม่
เพราะป้าสะใภ้รอง…ตั้งแต่แรกเจอกันก็ไม่เคยมีสีหน้าดีให้นางเห็น มาวันนี้จย่าเป่าอวี้ล้มป่วย นางยิ่งต้องร้อนใจปานไฟผลาญ ถ้าเห็นหลินไต้อวี้แล้วต้องยิ่งชังน้ำหน้าแน่ๆ
“อืม เช่นนั้นพวกเจ้าช่วยเข้าไปดูสถานการณ์ให้ข้าหน่อยเถอะ” หลินไต้อวี้ดึงตัวพี่น้องชุนทั้งสามให้ก้าวลงบันไดไปพลางกล่าว
ในเมื่อพวกสาวใช้อาศัยบารมีนายไม่ยอมให้หลินไต้อวี้เข้าไป นางก็ไม่อยากจะวิ่งชนกำแพง ได้แต่ส่งพี่น้องชุนทั้งสามเข้าไปเยี่ยมดูอาการแทน
จย่าอิ๋งชุนทำหน้าปั้นยาก จย่าทั่นชุนรีบก้มหน้า ส่วนจย่าซีชุนยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะแววตานิ่งๆ นั้นเหมือนนางไม่ได้ยินสิ่งที่หลินไต้อวี้พูดด้วยซ้ำ
เมื่อคิดทบทวนดู หลินไต้อวี้ก็พอจะเดาต้นสายปลายเหตุได้ว่าป้าสะใภ้รองคงมองเห็นบุตรที่เกิดจากอนุภรรยาเป็นอากาศ ดูได้จากการที่นางทำเหมือนจย่าหวนไม่มีตัวตน ย่อมคิดภาพได้ว่าเพราะเหตุใดจย่าทั่นชุนผู้ร่าเริงสดใสใจกว้างถึงได้มีอาการก้าวเท้าไม่ออกเช่นนี้ เป็นเพราะในใจของนางมีเงาดำซ่อนอยู่ ส่วนจย่าซีชุนอายุยังน้อย นางจึงไม่ค่อยสนใจอะไรมาก ซ้ำยังนางยังเป็นคนของจวนหนิงกั๋วกง การที่สาวใช้มองไม่เห็นหัวนางจึงเป็นเรื่องธรรมดา
แต่จย่าอิ๋งชุนนั้นต่างออกไป เพราะนางเป็นคนของบ้านใหญ่ แม้จะเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาแต่ก็ถือว่าเป็นนายผู้หนึ่ง!
“พี่สาว ท่านช่วยเข้าไปดูให้ข้าสบายใจหน่อยเถอะนะ” หลินไต้อวี้ทำได้เพียงอ้อนวอนเสียงอ่อนเพราะอยากถือโอกาสนี้ช่วยรักษาความอ่อนแอขี้กลัวของอีกฝ่าย เนื่องจากยิ่งจย่าอิ๋งชุนทำหัวหด พวกคนรับใช้ยิ่งคิดว่าการไม่กลั่นแกล้งนางเท่ากับกลั่นแกล้งตนเอง กลายเป็นบ่าวรังแกนาย
จย่าอิ๋งชุนถูกบีบจนหมดทางเลือกได้แต่ฝืนทำหน้าตึงออกศึก แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยปาก จินช่วนก็ชิงบอกอย่างไม่เกรงใจออกมาก่อนว่า “นายหญิงมีคำสั่งว่านอกจากพวกนายท่าน นายหญิงผู้เฒ่า และสะใภ้รองเฟิ่งแล้ว ห้ามคนไม่มีหน้าที่เข้าไป”
ท่าทียโสโอหังนั้นทำให้จย่าอิ๋งชุนต้องถอยหลังกรูด นางหันไปมองหลินไต้อวี้ด้วยใบหน้าซีดขาวอย่างน่าสงสาร
หลินไต้อวี้หลับตาลงอย่างนึกปลงว่านางไม่ได้อยากหาเรื่องใส่ตัว แต่ถ้ากล้ำกลืนโทสะนี้เอาไว้ จะมีคฤหาสน์ใดยอมให้สาวใช้ผู้หนึ่งทำเชิดหน้าพูดจากับคุณหนูเจ้าของบ้านเช่นนี้