ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นิทานรักนักษัตรปีมะเส็ง บทที่ 6
หรือคำพูดของคุณหนูที่เกิดจากอนุภรรยาของบ้านใหญ่ไม่มีน้ำหนัก เช่นนั้นก็ดี เพราะนั่นแปลว่าคำพูดของหลินไต้อวี้ที่เป็นคู่หมั้นผู้เพียบพร้อมของคุณชายรองย่อมมีน้ำหนักมากกว่า
“เช่นนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าคนแบบใดที่เรียกว่ามีหน้าที่และผู้ใดที่เป็นคนไม่มีหน้าที่” แม้หลินไต้อวี้จะอายุยังน้อยแต่นางกลับกล้าก้าวออกไปขวางหน้าจย่าอิ๋งชุนและถลึงตาใส่สาวใช้ที่ทำตัวเลียนแบบคุณหนูผู้นั้น
จินช่วนชะงักไปเล็กน้อยก่อนพูดอย่างเจ้าคารม “พวกข้าไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ แต่นายหญิงสั่งว่ามีเพียงพวกนายท่าน นายหญิงผู้เฒ่า และสะใภ้รองเฟิ่งเท่านั้นที่เข้าไปได้ ส่วนคนที่เหลือล้วนจัดเป็นพวกไม่มีหน้าที่ทั้งสิ้น นายหญิงพูดเช่นนี้เอง มิใช่บ่าวเป็นคนพูด แม่นางหลินโปรดอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย”
ชิ! ถือขนไก่เป็นลูกธนู โดยแท้ ทำเป็นพูดมีเหตุมีผล!
“ในจวนมีนายทั้งหมดกี่คน คุณหนูทั้งหมดกี่คน หรือพวกเจ้าเข้าจวนมานานถึงเพียงนี้แล้วยังไม่รู้ ไร้ระเบียบจริงๆ เช่นนี้คนเขามิหัวเราะเยาะกันหรือว่านายหญิงไม่ได้อบรมบ่าว ถึงได้ปล่อยให้พวกสาวใช้หยิบยกนายหญิงผู้เมตตามาข่มคุณหนู” หลินไต้อวี้แค่นเสียงหัวเราะ แต่ใบหน้าเยาว์วัยกลับมีรัศมีน่าเกรงขามที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองหน้านางได้ตรงๆ
“พี่อิ๋งชุน นายหญิงเป็นผู้มีเมตตา เช่นนั้นพวกเราไปหานายหญิงผู้เฒ่ากันดีกว่า ให้ท่านใช้กฎของตระกูลจัดการบ่าวชั่ว เพื่อที่ต่อไปจะได้ไม่มีใครยัดเยียดข้อหาให้นายหญิงได้”
จย่าอิ๋งชุนตะลึงด้วยคิดไม่ถึงว่าหลินไต้อวี้จะดึงตัวนางเดินไปจริงๆ หญิงสาวหันหน้าไปเพื่อจะพูดขอร้องแทนหลินไต้อวี้แต่กลับเห็นจินช่วนเลิกใช้เหตุผลและใช้มือผลักหลินไต้อวี้ ทำให้จย่าอิ๋งชุนต้องรีบดึงตัวหลินไต้อวี้เอาไว้จนตนเป็นฝ่ายเหยียบบันไดพลาดแล้วผงะหงายกลิ้งตกลงไปแทน
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ทั้งที่คิดว่าต้องเจ็บแน่แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บ ซ้ำยังมีเสียงทุ้มนุ่มของบุรุษดังขึ้นที่ข้างหูทำให้จย่าอิ๋งชุนต้องช้อนสายตาขึ้นมองจี้เฟิ่งปา นางตกใจ รีบลุกขึ้นจากอ้อมแขนของเขา ใบหน้างดงามแดงเรื่อด้วยความรู้สึกขัดเขินและพูดขอบคุณเขาเสียงตะกุกตะกัก
พอหลินไต้อวี้ทรงกายได้มั่น นางก็เตรียมจะพุ่งตัวเข้าไปเอาเรื่องจินช่วน แต่ประตูกลับเปิดผางออกอย่างได้จังหวะ เผยให้เห็นใบหน้าของหวังฮูหยิน
“เอะอะอะไรกัน ไม่รู้หรือว่าคุณชายรองเป่ากำลังพักฟื้นอยู่ ไม่รู้จักกฎระเบียบของบ้านกันหรืออย่างไร” สายตาของนางจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของหลินไต้อวี้เหมือนอยากจะแล่นางเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น
“ป้าสะใภ้รอง ไต้อวี้รู้ว่าพี่รองเป่าป่วยเลยมาเยี่ยมเขาพร้อมพวกพี่สาว แต่สาวใช้กลับบอกว่าพวกเราเป็นพวกว่างงาน ไต้อวี้จึงตั้งใจจะไปถามเรื่องนี้กับท่านยายให้ชัดเจนเจ้าค่ะ” เรื่องโกรธก็ส่วนโกรธ หลินไต้อวี้ไม่โง่ถึงขั้นโวยวายออกมาซึ่งหน้าทำให้ป้าสะใภ้รองเพิ่มโทษให้นางมากยิ่งขึ้น
“เจ้ากล้าไปหานายหญิงผู้เฒ่า? แต่ไหนแต่ไรสุขภาพของเป่าอวี้ดีมาตลอด แต่พอเขาตามเจ้าไปเมืองหยางโจวกลับมาได้แค่ไม่กี่วันก็ล้มป่วย ซ้ำยังป่วยหนัก…” หวังฮูหยินมองผ่านร่างของนางไปที่จี้เฟิ่งปาที่อยู่ด้านหลัง “ข้าไม่เข้าใจนายหญิงผู้เฒ่าเลยว่าเพราะเหตุใดท่านจึงอนุญาตให้เจ้ามีบ่าวชายอยู่ข้างกายได้…”
แม้จะไม่ได้ระบุชื่อแซ่ออกมาตรงๆ แต่สายตาและน้ำเสียงของนางก็ฟ้องเจตนาชัดว่า…ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าพาบุรุษเข้าบ้านมาเพื่อสังหารคนชิงทรัพย์หรือไม่
ซื่อบื้อ! แค่ใช้สมองตรองหน่อยก็รู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้!
โทสะเต็มท้องของหลินไต้อวี้ใกล้จะระเบิด แต่นางกลับเหลือบไปเห็นเงาร่างอ้อนแอ้นเดินออกมาจากด้านในห้องเสียก่อน เซวียเป่าไชยังคงมีท่วงท่างามสง่า พูดเสียงเบาอ่อนหวาน “ท่านป้าอย่าเข้าใจน้องหลินผิดสิเจ้าคะ หากมีใครคิดไม่ดีเอาเรื่องไม่มีมูลนี้พูดต่อๆ กันไป คนที่ต้องเสียหายก็คือสกุลจย่านะเจ้าคะ”
หลินไต้อวี้ปิดเปลือกตาลงอย่างหมดแรง แต่ต้องรีบสะกดความอยากกระอักเลือดของตนเองเอาไว้
ตอนแรกนางเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะพูดขอร้องแทน แต่ใครจะรู้ว่าเซวียเป่าไชกลับเทน้ำมันลงบนกองเพลิง แม้คำพูดประโยคนี้จะฟังดูเหมือนนางวางตัวเป็นกลาง แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่ามีการซ่อนความนัยบอกให้พวกสาวใช้ปากยาวเอาเรื่องนี้ไปเล่าต่อๆ กันไป! หลินไต้อวี้ไม่ได้อยากมองคนในแง่ร้ายหรอกนะ แต่ปัญหาคือคนในคฤหาสน์สกุลจย่าล้วนเป็นภูตผีปีศาจทั้งสิ้น คงเป็นการยากที่เซวียเป่าไชซึ่งอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่ามานานจะไม่พลอยกลายเป็นปีศาจไปด้วย
หรือไม่หญิงสาวที่เกิดมาในสกุลเซวียที่เป็นตระกูลวาณิชหลวงก็ฝึกปรือวิชานี้มานาน ทำให้นางสามารถใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่าได้อย่างสบาย
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเวลานี้หลินไต้อวี้ก็สามารถกำหนดบทบาทของเซวียเป่าไชได้แล้ว
“แม่นางเซวียวางใจได้ สกุลจย่านั้นนายรู้กฎ บ่าวรู้เกณฑ์ เสียงเล่าลือย่อมหยุดอยู่ที่ผู้มีปัญญา” จี้เฟิ่งปาพูดด้วยสีหน้าเป็นมิตร
เซวียเป่าไชปรายตามองเขาแวบหนึ่ง เหมือนกำลังมองดูสิ่งสกปรกแต่ไม่เอ่ยคำใด ผิดกับหวังฮูหยินที่อยู่ข้างๆ ซึ่งชิงระเบิดโทสะก่อน
“เป็นแค่คนรับใช้ผู้หนึ่งของสกุลหลิน ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าเปิดปาก ยังไม่รีบพาคุณหนูของเจ้ากลับไปอีก อยู่ต่อก็รังแต่จะเป็นอัปมงคลต่อคุณชายรองเป่า!”
หลินไต้อวี้ลอบกำหมัดแน่น เขี้ยวขาวขบกันกรอดๆ ต่อให้ทนได้นางก็ไม่คิดจะทนอีก! ก่อนหน้านี้ที่หลินไต้อวี้ไม่ถือสาหาความพวกสาวใช้ เป็นเพราะนางเป็นแค่ผู้อาศัย แต่บัดนี้สถานภาพของนางไม่เหมือนเดิมแล้ว ยังจะต้องถูกคนหัวเราะเยาะด่าว่าโดยไม่โต้ตอบอีกหรือ ดูสายตาที่เซวียเป่าไชมองกับฟังน้ำเสียงที่ท่านป้าสะใภ้รองพูดออกมาสิ ทำกับนางยังพอว่า แต่ทำกับคนของนาง…
“นายหญิงกล่าวถูกต้อง เวลานี้สิ่งที่คุณชายรองเป่าต้องการคือความสงบ” ยังไม่ทันที่หลินไต้อวี้จะได้ระเบิดโทสะ จี้เฟิ่งปาก็โค้งกายคำนับนางโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “คุณหนูขอรับ พวกเรากลับกันก่อนดีกว่า เอาไว้พรุ่งนี้คุณชายรองเป่าดีขึ้นแล้ว พวกเราค่อยมาเยี่ยมใหม่”
ตอนแรกหลินไต้อวี้จะไม่ยอม แต่พอเห็นชายหนุ่มแกว่งกล่องอาหารในมือ ต่อให้นางขุ่นใจมากกว่านี้ก็ยังต้องถูกต้อนให้กลับเรือนพักไปก่อนแล้วค่อยคุยกัน
พอกลับไปจี้เฟิ่งปาก็บอกว่าเขาจะลองไปสืบข่าวจากคนรับใช้ข้างกายจย่าเป่าอวี้ดู
หลินไต้อวี้รู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างมาก นางไม่อยากให้จี้เฟิ่งปาต้องออกไปให้คนด่าเพื่อนาง และยิ่งไม่อยากให้พี่น้องชุนทั้งสามต้องถูกมองเป็นสิ่งไร้ค่าเพื่อนาง!
อย่าให้นางได้เป็นนายหญิงเชียว นางจะ…นางจะ…น่าชังนัก นางจะทำอะไรได้ นางเป็นใคร นางเป็นถึงเทพปีมะเส็งแล้วจะไปถือสาหาความกับมนุษย์สามัญจนทำให้ตนเองต้องถูกลดระดับได้หรือ!