หนึ่งเดือนต่อมา อาการป่วยของจย่าเป่าอวี้ยังคงเดี๋ยวทรงเดี๋ยวทรุด ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจย่ามีท่าทีหมางเมินหลินไต้อวี้มากขึ้น และนี่ทำให้นางรู้ว่าสถานการณ์กำลังแย่ลงทุกขณะ
หลินไต้อวี้ยังคงทำตามความต้องการของจย่าเป่าอวี้ที่เคยบอกให้นางไปคารวะและคอยสังเกตดูสีหน้าท่านยายอย่างละเอียดทุกวัน พร้อมๆ กับคอยฟังว่ามีเสียงเล่าลือกันถึงเพียงใด หรือมีการแต่งเสริมเติมเนื้อหาไปกี่รูปแบบ
ช่วงนี้มีเสียงลือกันให้ทั่ว ประกอบกับมีพระภิกษุและนักพรตจำนวนหนึ่งเข้ามาในจวน ประเดี๋ยวทำพิธี ประเดี๋ยวสวดมนต์จนแทบไม่มีว่างเว้น ท่าทีร้อนรนของแต่ละคนทำให้เสียงลือยิ่งหนักขึ้นและมีการพูดต่อๆ กันไปในหลายแบบว่า ตายแน่ไม่ตายแน่ ทว่าทุกแบบล้วนพุ่งเป้าโจมตีมาที่หลินไต้อวี้มากกว่าใคร
แต่ไม่มีผู้ใดตายเพราะคำนินทา…เพราะนางยังมีชีวิตอยู่จริงๆ!
“สบายใจเถอะขอรับคุณหนู เรื่องสุขภาพของคุณชายรองไม่ได้หนักมาก ข้าแอบไปต้มยาอีกที่หนึ่งและให้หลี่กุ้ยนำเข้าไปแล้ว แค่ไม่กี่วันรับรองว่าต้องดีขึ้นแน่”
ตอนได้ยินจี้เฟิ่งปาที่เพิ่งกลับมาเล่าให้ฟังเช่นนี้ ดวงตาของหลินไต้อวี้พลันเบิกกว้างและมีประกาย นางนึกสงสัยว่าตนฟังผิดไปหรือไม่จึงต้องแคะหูพลางถามด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่จี้ ท่านพูดเช่นนี้เหมือนจะบอกว่ายาของเขามีปัญหา…”
“อาหารก็มีด้วยขอรับ”
หลินไต้อวี้สูดลมหายใจเข้าลึก “จะเป็นไปได้อย่างไร เขาคือคุณชายรองเป่าแห่งสกุลจย่านะ จะมีผู้ใดวางยาเขาได้!” ทันทีที่หลุดปากพูดออกไป หลินไต้อวี้พลันฉุกคิดถึงคำพูดของฉินเข่อชิงขึ้นมาได้ว่า ‘เด็กผู้นั้นชะตาอาภัพ’ ทำให้นางตัวสั่นอย่างรุนแรง
คงไม่ใช่กระมัง แต่เรื่องนี้คงมีแต่คนในเท่านั้นที่รู้ หาไม่ฉินเข่อชิงจะเดาได้แม่นยำเช่นนี้หรือ แต่ต่อให้อยากจะวางยาพิษฆ่าเขา เหตุใดจึงเลือกลงมือเอาเวลานี้
จี้เฟิ่งปาเห็นหลินไต้อวี้เงียบไปก็เดาได้ว่านางกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ “อีกไม่กี่วันหวังฮูหยินกับนายหญิงผู้เฒ่าจะไม่อยู่ เราค่อยไปเยี่ยมคุณชายรองเป่ากันอีกทีนะขอรับ”
“อืม” หลินไต้อวี้รับคำอย่างเข้าใจ
สมดังคำของจี้เฟิ่งปา เพราะราวๆ ห้าหกวันให้หลังอาการป่วยของจย่าเป่าอวี้ก็ดีขึ้นมาก ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าจึงไปเลี้ยงอาหารขอบคุณเหล่านักพรตและพระภิกษุ หวังฮูหยินย่อมต้องตามไปด้วย หลินไต้อวี้จึงฉวยโอกาสนี้เอาโจ๊กใสกับยาน้ำที่จี้เฟิ่งปาเตรียมไว้ไปเยี่ยมจย่าเป่าอวี้
ผู้ใดจะรู้ว่าสาวใช้ของสกุลจย่าจะเลียนแบบนายได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่ละคนล้วนกระเหี้ยนกระหือรือจะปีนขึ้นเตียงเจ้านายเพื่อจะได้ตำแหน่งนายหญิงมาสักครึ่งตัว ดังนั้นเมื่อเห็นหลินไต้อวี้มา พวกนางจึงทำหน้าทำตาถอดแบบป้าสะใภ้รองมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน ทำให้หลินไต้อวี้รู้สึกชื่นชมเสวี่ยเยี่ยนว่านางเป็นผู้มีเมตตาอารี ถึงได้ไม่เคยหัดนิสัยร้ายกาจเช่นนี้
“นายหญิงสั่งว่าห้าม…”
หลินไต้อวี้ยื่นมือออกไปตัดบททั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ พอเถอะ นางเคยฟังคำพวกนี้มาแล้ว ถึงจะยังท่องไม่ได้ แต่ก็รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร
“ข้าไม่ใช่พวกว่างงาน อยากไปให้นายหญิงผู้เฒ่ายืนยันหรือไม่” หลินไต้อวี้เก็บเขี้ยวเล็บ ทำให้ตนเองดูอ่อนหวานและมีความเป็นนายหญิงอย่างมาก
“แต่…”
“หากเอะอะจนเรื่องไปถึงนายหญิงผู้เฒ่า ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะตกที่นั่งแบบใด”
อ้อ คนพวกนี้นางรู้จัก คนที่วางท่ามากที่สุดชื่อสีเหริน แต่ก็เป็นธรรมดาเพราะนางได้ชื่อว่าเป็นสาวใช้ห้องข้างที่จย่าเป่าอวี้ยังไม่ได้รับไว้ เวลาพูดจาจึงเสียงดังกว่าใคร ส่วนคนอื่นๆ อย่างเซ่อเยวี่ย ฉี่เซี่ยน ชิวเหวิน ปี้เหิน ชุนเยี่ยน…กับคนที่นางจำชื่อไม่ได้ล้วนพ่นลมออกจมูก แต่สุดท้ายคนที่วางตัวได้เหมาะที่สุดกลับเป็นฉิงเหวินกับเสี่ยวหง
“ให้แม่นางหลินเข้าไปเถิด คุณชายรองที่อยู่ด้านในได้ยินเสียงข้างนอกนี้แล้ว” ฉิงเหวินมีใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก แม้จะเป็นสาวใช้ แต่กลับมีท่าทางสง่าแช่มช้อยอย่างคุณหนูผู้มีสกุล
“ใช่แล้ว คุณชายรองต้องการพบแม่นางหลิน พวกเจ้าคนใดกล้าขวางก็ไปแก้ตัวกับคุณชายรองเองเถิด”
เสี่ยวหงเป็นแม่นางที่ดูวางท่าและพูดจาแบบไม่กลัวใคร แต่กลับถูกใจหลินไต้อวี้อย่างมาก
ในที่สุดพวกสาวใช้ก็ต้องยอมปล่อยเปิดทางให้อย่างไม่เต็มใจ หลินไต้อวี้สั่งให้จี้เฟิ่งปาคอยอยู่ข้างนอกระหว่างที่นางถือกล่องอาหารเข้าไปด้านใน
ทันทีที่เห็นจย่าเป่าอวี้ นางกลับต้องนิ่งค้าง
(ติดตามตอนไปวันที่ 26 ก.ค. 62)