บทที่ 7
จย่าเป่าอวี้ที่นั่งพิงเสาเตียงอยู่มองนางด้วยสีหน้าอ่อนล้า
“ยืนนิ่งทำอะไรอยู่ตรงนั้น เหตุใดถึงไม่ยอมเข้ามา”
หลินไต้อวี้กะพริบตา ถือกล่องอาหารไปนั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยข้างเตียงเพื่อพิจารณาดูเขา เรือนผมยาวดุจแพรต่วนปล่อยสยายขับเน้นดวงหน้าให้แลดูขาวซีดมากขึ้น นัยน์ตาเปล่งประกายวาววับดุจดวงดาวแลดูมืดดำแต่กลับไม่อาจลดทอนความงามของจย่าเป่าอวี้ลงได้ ตรงกันข้ามมันกลับทำให้เขาแลดูน่าสงสารคล้ายดรุณีในห้องหอมากกว่าเดิม
“ข้าขอดึงคอเสื้อท่านดูหน่อยได้หรือไม่” เรื่องราวต่างๆ แตกต่างไปจากนิทานที่นางคุ้นเคยมากจนหลินไต้อวี้สงสัยว่าจย่าเป่าอวี้อาจเป็นสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ นางจึงต้องการพิสูจน์ให้กระจ่าง หากจย่าเป่าอวี้เป็นสตรีจริง นางกับเขาย่อมเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน ต่อไปไม่ว่ามีเรื่องใดย่อมหารือกันได้
แม้จย่าเป่าอวี้จะอ่อนแรง แต่มุมปากที่ยกขึ้นกลับทำให้ใบหน้างามคมสันแลดูเฉิดฉัน มีเสน่ห์จนคนมองหน้าแดงใจเต้นอย่างประหลาด
“ใจร้อนอยากเห็นเรือนร่างของพี่ชายเช่นนี้ คอยให้พี่ชายหายดีก่อนเถิดนะ”
หลินไต้อวี้หรี่ตาลงทันควัน นางถอนหายใจอย่างอ่อนใจว่าถ้าเจ้าเด็กสมควรตายนี่เป็นสตรีจริงก็ผีหลอกแล้ว!
“พวกเจ้าเหนื่อยกันหมดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ให้ผินผินอยู่ดูแลข้าแทน” จย่าเป่าอวี้ทอดสายตาไปยังพวกสาวใช้ที่ยืนอยู่นอกฉากกั้น
“แต่…”
“หากพวกเจ้าต้องล้มป่วยเพราะข้า ข้าคงรู้สึกเสียใจมาก ไปพักผ่อนก่อนเถอะ ดูแลตัวเองให้ดีแล้วจึงจะมีแรงมาดูแลข้า ข้ายังต้องอาศัยพวกเจ้าอยู่นะ”
พวกสาวใช้จึงพากันถอยออกไปด้วยสีหน้าเคลิ้มฝัน
หลินไต้อวี้เกาแก้มเพราะรู้สึกคันคะเยอขึ้นมาทั้งตัว เจ้าคนผู้นี้ล่อลวงสตรีเก่งมาตั้งแต่เกิดจริงๆ การที่เขาไม่ไปเป็นคุณชายเจ้าสำอางถือเป็นการขัดต่อสวรรค์แล้ว
“ผินผินเอาของกินมาด้วยมิใช่หรือ เหตุใดยังไม่เอาออกมาอีกล่ะ ฉลาดน้อยจริง”
นางถลึงตาตอบอย่างฉุนๆ และนึกอยากเหวี่ยงกล่องอาหารใส่ แต่พอเห็นจย่าเป่าอวี้แค่ลุกขึ้นมานั่งก็ยังหอบซึ่งแสดงว่าเขากำลังป่วยหนักมาก หลินไต้อวี้ก็เม้มริมฝีปากแล้วรีบหยิบยาน้ำในกล่องอาหารออกมาอย่างว่องไวพลางเอ่ยพูดเสียงเบา “พี่จี้บอกว่ายานี้ต้องกินก่อนอาหาร เช่นนี้…”
จย่าเป่าอวี้ใช้มือข้างหนึ่งประคองชามยาแล้วซดเหมือนกำลังดื่มสุรารสเลิศแต่เกิดสำลักกระอักกระไอเล็กน้อย หลินไต้อวี้จึงต้องรีบตบหน้าอกเขาเพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น แต่พอมือตบลงไป นางกลับรู้สึกเจ็บกระบอกตา
เพราะมันบางมาก บางจนนางสัมผัสได้ถึงกระดูก ช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน…นี่เขาโดนวางยาจนผอมโทรมถึงเพียงนี้เชียวหรือ!
“ผินผินอดใจไว้ก่อนนะ คอยให้พี่ชายรักษาตัวจนหายดีแล้ว เจ้าอยากจะลูบตรงที่ใดก็ตามใจเลย”
“นี่มันเวลาใดแล้วยังจะทำปากดีอีก รู้หรือไม่ว่าท่าน…” นางควรบอกเขาหรือไม่ เกิดเขารู้แล้วจะ…
“ข้ารู้แล้ว” เสียงแผ่วหวิวสามคำหลุดออกจากปากเขาพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น
“ท่านรู้?”
“อืม หลายปีแล้วล่ะ” จย่าเป่าอวี้พูดอย่างไม่ใส่ใจพลางบุ้ยปากเป็นทำนองว่าให้นางป้อนอาหารเขา
“หา?” หลินไต้อวี้นิ่งงัน ทำให้จย่าเป่าอวี้ต้องเร่งอยู่หลายครั้งกว่าที่นางจะนึกขึ้นได้ว่าต้องป้อนโจ๊กให้เขา
นางนี่มันทึ่มจริงๆ ที่แท้…ที่แท้ฉินเข่อชิงก็รู้ก็เห็นทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น เช่นนั้นนางถึงเตือนหลินไต้อวี้ว่าจย่าเป่าอวี้เป็นคนชะตาอาภัพ!
ขนาดเขาตกอยู่ในสภาวะคับขันนางยังไม่เคยรู้ ที่แท้จย่าเป่าอวี้ซ่อนความทุกข์ระทมที่บอกใครไม่ได้เอาไว้ภายใต้สีหน้าเปิดเผย ไม่รู้เพราะเหตุใดหลินไต้อวี้ถึงรู้สึกเหมือนจย่าเป่าอวี้กำลังซ้ำรอยนาง ทำให้นางรู้สึกแสบๆ จมูกขึ้นมา
นางเป็นคนที่ทะลุมิติมา แม้ร่างกายจะยังเด็กแต่อายุจริงกลับไม่อาจประเมินได้ ส่วนเขาเป็นเด็กอย่างแท้จริง แต่ความเป็นลูกรักหลานรักกลับบีบให้เขาต้องกินยาพิษเพื่อให้มีชีวิตรอด