ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นิทานรักนักษัตรปีมะเส็ง บทที่ 7
“แต่ดูจากสภาพท่านตอนนี้…” มิใช่ว่านางอยากจะสาดน้ำเย็นใส่เขาหรอกนะ แต่สภาพของเขาเวลานี้แค่มีใครมาตบสักสองที จย่าเป่าอวี้ก็ขาดใจตายได้แล้ว
“จำไว้ว่าทุกวันก่อนมาเยี่ยมข้าให้พี่จี้ของเจ้าไปใช้ครัวเล็กของจย่าอิ๋งชุนทำอาหารมา ถ้ามียามาด้วยจะยิ่งดี เข้าใจหรือไม่”
“เรื่องเล็กแค่นี้ไม่มีปัญหา ข้าจะทำหน้าด้านมาเยี่ยมท่านทุกวันแน่นอน” แม้จะบอกว่าทันทีที่เข้ามาเป็นต้องถูกบาดเพราะสายตาคมกริบของพวกสาวใช้ แต่นางมีร่างกายคงทนเป็นอมตะ ต่อให้เจอมีดดาบเยอะเพียงใดก็ไม่หวั่นเกรง
ยิ่งไปกว่านั้นการเจอสายตาคมๆ ยังเป็นแค่เรื่องเล็ก ถ้าจย่าเป่าอวี้เป็นอะไรไปขึ้นมาสิถึงจะเป็นเรื่องใหญ่!
หลินไต้อวี้ไม่มีทางยอมให้สมบัติของตนเองต้องถูกริบและทำให้ครอบครัวสกุลจี้ต้องพลอยตกที่นั่งลำบาก เอาไว้วันใดนางจะต้องออกจากจวนเพื่อไปชิงโอนเงินหรือที่ดินจำนวนหนึ่งเป็นชื่อของท่านอาจี้ก่อน เผื่อว่าสักวันหากเกิดอะไรขึ้นกับนางแล้ว ท่านอาจี้ที่เป็นม้าเป็นวัวมาทั้งชีวิตยังต้องระเห็จไปอยู่ข้างถนนอีก รับรองว่าหลินไต้อวี้ต้องตายตาไม่หลับแน่
จย่าเป่าอวี้หลุบขนตายาวลงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดว่า “ขอโทษนะ ทั้งที่ข้าบอกว่าจะดูแลเจ้าแต่กลับ…”
“นี่ ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจสิ ทำอวดเก่งต่อไปล่ะดีแล้ว จู่ๆ มาทำตัวอ่อนยวบยาบเช่นนี้ ข้ากลัวนะ” ผู้คนมักพูดกันว่าเวลาคนใกล้ตายมักพูดจาดีเป็นพิเศษ ทำให้หลินไต้อวี้กลัวมากว่าจย่าเป่าอวี้จะทำดีทิ้งท้ายให้กันตั้งแต่ตอนนี้
หางตาของจย่าเป่าอวี้กระตุกสองครั้งก่อนยิ้มกรุ้มกริ่ม “ผินผินไม่ต้องกลัว เรื่องการศึกในบ้านพี่ชายจะค่อยๆ สอนเจ้า”
หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นสองจังหวะ หลินไต้อวี้รีบสูดลมหายใจเข้าปอดลึก
ใช่แล้วๆ ต้องให้เขาทำหน้าเป็นอย่างนี้สินางถึงจะรู้สึกว่าทุกอย่างยังแก้ไขได้ หาไม่ ในอกมันรู้สึกอึดอัดไปหมด
จะดีจะชั่วอย่างไรจย่าเป่าอวี้ก็เติบโตขึ้นมาในสกุลจย่า เขาย่อมมองอะไรต่อมิอะไรได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และเหตุการณ์ก็เป็นดั่งที่เขาคาดคือเมื่อกว่าครึ่งปีผ่านไปสุขภาพร่างกายของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นตัวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าค่อยๆ คลายสีหน้าเย็นชาที่มีต่อหลินไต้อวี้
แต่เป็นที่แน่นอนว่างานแต่งงานต้องเลื่อนออกไปด้วย ทว่าก็เลื่อนไปอีกแค่ปีเดียวเท่านั้น
เมื่อร่างกายหายดี จย่าเป่าอวี้ก็ยืนกรานว่าจะไปสำนักศึกษา หลินไต้อวี้ถามเหตุผลอย่างไม่เข้าใจ ทำให้รู้ว่าที่แท้นี่เป็นการกลบเกลื่อนเพื่อให้จย่าหวนได้ไปสำนักศึกษา
“แต่ข้าก็ไม่นั่งดูอยู่อย่างเดียวหรอกนะ เพราะข้าจะใช้สถานะผู้เยาว์เข้าสอบซุ่ยซื่อกับเคอซื่อ ด้วย”
“…อืม” จะว่าไป เขาจะมีแผนอย่างไรแล้วจำเป็นต้องบอกนางด้วยหรือ อีกอย่างถึงจย่าเป่าอวี้ไปสอบแล้วจะสู้กับหวังซีเฟิ่งได้อย่างไร ทั้งหมดนี่เป็นเพราะนางไม่ฉลาดพอ หรือเพราะความคิดของเขามีปัญหากันแน่
“หลังสอบก็จะได้เป็นเซิงหยวน”
“ต่อจากนั้นล่ะ?” หลินไต้อวี้อยากให้จย่าเป่าอวี้พูดให้จบเร็วๆ ไม่ไหวแล้ว เรื่องการสอบระดับเคอจวี่นางเคยได้ยินหลันเอ๋อร์เล่าให้ฟังแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เขามาท่องให้ฟังซ้ำหรอก ทันใดนั้นหลินไต้อวี้ฉุกคิดได้ว่า “จริงสิ ท่านจะพาหลันเอ๋อร์ติดไปด้วยได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าถ้าได้เรียนสักสองปี สกุลจย่าอาจมีจวี่เหรินคนแรกก็เป็นได้”
หลันเอ๋อร์เป็นเด็กน่าสงสารมาก เพราะหลังจากที่เขาสอบได้เซิงหยวนแล้ว ท่านยายก็ไม่ยอมให้เขาไปสำนักศึกษาอีก ทั้งที่รัศมีเพิ่งจะสาดส่องแต่กลับต้องถูกดับเพราะท่านอารองเป่า
“ตกลงเจ้าจะฟังข้าพูดหรือไม่!” จย่าเป่าอวี้ฉุนขาดที่ไม่ได้รับความสนใจซ้ำยังถูกเปลี่ยนเรื่องคุย
หลินไต้อวี้มองหน้าเขาแล้วถอนหายใจ “จู่ๆ ข้าก็คิดถึงช่วงที่ท่านป่วย” ช่วงนั้นเป็นเวลาที่แสนสวยงาม เพราะจย่าเป่าอวี้เจ้าอารมณ์น้อยลง ทำให้นางคิดว่าเขาน่าจะป่วยเช่นนั้นตลอดไป เพื่อที่จะเก็บภาพคนงามขี้โรคภาพนั้นของเขาเอาไว้
“ที่แท้ผินผินก็อยากดูแลข้านี่เอง น่าจะบอกกันตั้งแต่แรก เช่นนั้นคืนนี้ไปนอนค้างที่เรือนของข้านะ” จย่าเป่าอวี้ดึงมือนางไปวางบนหน้าอก
หลินไต้อวี้เลยข่วนอกเขาอย่างไม่เกรงใจ “มีอยู่แค่นี้ เมื่อไรท่านถึงจะมีอกหนาๆ เหมือนพี่จี้เขาบ้าง”
เมื่อหลายวันก่อนนางมีโอกาสได้เห็นร่างเปลือยท่อนบนของพี่จี้อย่างไม่ได้ตั้งใจ ทำให้หลินไต้อวี้ยิ่งมั่นใจว่าจี้เฟิ่งปาจะต้องเป็นตัวเลือกเพื่อเป็นคู่ร่วมแข่งขันของนางเพียงผู้เดียว
เพราะชายหนุ่มมีรูปร่างกำยำล่ำสัน ใบหน้าหล่อเหล่าเปี่ยมเสน่ห์ ซ้ำยังมีฝีมือด้านการครัว…ทำให้หลินไต้อวี้รู้สึกว่าแม้เวลานี้นางจะได้รับความทุกข์ทรมานก็ยังคุ้มค่า
แต่แล้วความคิดกลับต้องถูกขัดจังหวะเพราะมือของนางถูกบีบแน่นจนเจ็บ
“ท่านเป็นบ้าอะไรน่ะ ปล่อยนะ มันเจ็บ!”
“เจ้าเคยลูบหน้าอกเขา?!” จย่าเป่าอวี้เบิกตากว้างแทบฉีกขาด
“ผู้ใดเคยลูบ แค่เมื่อหลายวันก่อนได้เห็นแวบเดียวเท่านั้น ท่านนึกว่าข้าอยากจะลูบไปหมดทุกคนหรือ” เขาเห็นนางเป็นตัวอะไร!
สีหน้าของจย่าเป่าอวี้ค่อยๆ คลายลง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงต่ำ “เช่นนั้นเจ้าเลยลูบได้เพียงข้าคนเดียว?”
หลินไต้อวี้รู้สึกอยากตายขึ้นมาจับใจ คนผู้นี้ไม่เข้าใจภาษามนุษย์หรือ!
“ผู้ใดอยากลูบท่าน ข้าแค่จะบอกว่าท่านผอมกะหร่อง หน้าอกไม่มีเนื้อมีหนัง เช่นนี้ท่านยังจะเป็นบุรุษอีกหรือ น่าจะหัดตามอย่างพี่จี้ที่ไปรำมวยออกกำลังตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง”
“ข้าหัดแล้ว” จย่าเป่าอวี้พูดเสียงอู้อี้
“จริงหรือ”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญ เรื่องสำคัญคือข้าจะสอบเป็นเซิงหยวน และถ้าข้าสอบได้ เจ้าต้องมอบถุงผ้าปักให้ข้าหนึ่งใบด้วย” จย่าเป่าอวี้ดึงเรื่องกลับเข้าประเด็นอย่างรำคาญใจ ไม่ยอมให้นางลากออกไปนอกเรื่องอีก
“ท่านก็มีอยู่แล้วใบหนึ่งนี่”
“นั่นมันของจย่าหวน”
“อ้อ รู้จักคิดดีแล้วหรือ ท่านยังสบายดีใช่หรือไม่” หลินไต้อวี้ลูบหน้าผากจย่าเป่าอวี้อย่างอดไม่อยู่ อืม ไม่มีไข้ เป็นปกติดีทุกอย่าง แล้วเพราะเหตุใดจึงพูดจาแปลกๆ เช่นนี้
“ข้าต้องการของของข้า” น้ำเสียงนุ่มเบาเหมือนจะลอดออกมาจากไรฟัน
“ได้ ถ้าท่านสอบได้ตำแหน่งเซิงหยวน และถ้าท่านพาหลันเอ๋อร์ไปสำนักศึกษาด้วยจะดีมาก” ถุงผ้าปักหรือ เรื่องนี้จัดการได้ง่ายมาก แค่ให้เสวี่ยเยี่ยนเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น
“ข้าจะลองถามท่านอาจารย์ดู”