วันถัดมาจย่าเป่าอวี้พาฉิงเหวินมาที่ห้องของหลินไต้อวี้ด้วยใบหน้าหล่อเหลาเคลือบน้ำแข็ง ไม่มีแม้แต่คำทักทายก็ชิงเดินจากไป
ฉิงเหวินแก้ตัวแทนเขาว่าใกล้สอบซุ่ยซื่อแล้ว จย่าเป่าอวี้ต้องรีบไปที่สำนักศึกษา
คำพูดประโยคนี้หลินไต้อวี้เชื่อแค่ครึ่งหนึ่ง เพราะอีกครึ่งนั้นนางเห็นสีหน้าเช่นคนใจแคบของเขาแล้ว ไม่รู้ว่าไปหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาจากที่ใดถึงได้ไม่ยอมพูดจากับนางสักคำ แล้วนางจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาโกรธเรื่องอะไร นางไม่ใช่หนอนในท้องเขาเสียหน่อย!
นางไม่เข้าใจพวกมนุษย์จริงๆ แค่ใช้ปากปากเดียวยังไม่เป็น ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน
แต่เป็นเรื่องจริงที่บอกว่าฉิงเหวินเป็นสาวใช้ที่คล่องแคล่ว เฉลียวฉลาด และรู้มารยาท ไม่ต้องมีคำสั่งจากหลินไต้อวี้นางก็รู้ว่าควรทำอะไรบ้าง ฉิงเหวินให้สาวใช้ที่มีหน้าที่ทำความสะอาดมาจัดการเรือนข้าง บอกว่าการรักษาโรคต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดเพื่อมิให้เกิดโรคแทรกซ้อน
ดูเอาเถอะ แค่นี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่านางฉลาดกว่าเสวี่ยเยี่ยน แต่เรื่องนี้มิอาจตำหนิเสวี่ยเยี่ยน เพราะเสวี่ยเยี่ยนเคยไปขอสาวใช้ทำความสะอาดจากพ่อบ้านแล้ว แต่กลับไม่เคยเห็นเงาคนเลยตั้งแต่ต้นปีจนเกือบจะสิ้นปี ด้วยเหตุนี้เสวี่ยเยี่ยนจึงต้องลงมือทำเองทุกอย่าง จะว่าไปเสวี่ยเยี่ยนก็ลำบากเหมือนกัน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรการมีฉิงเหวินกับเสี่ยวหงก็ช่วยแบ่งเบางานของเสวี่ยเยี่ยนไปได้ไม่น้อย ทำให้หลินไต้อวี้ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของการเป็นคุณหนูอย่างแท้จริงโดยไม่มีผู้ใดมากวนใจ ส่งผลให้อาการป่วยครั้งนี้ของนางดีขึ้นราวเจ็ดส่วน
ยิ่งหลังจากที่จย่าเป่าอวี้กับจย่าหวนสอบได้ซุ่ยซื่อพร้อมกัน คฤหาสน์สกุลจย่าก็มีบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองไปทั่ว เป็นผลดีต่อหลินไต้อวี้อย่างมากเพราะมันทำให้ไม่มีใครมาหาเรื่องนาง แต่เรื่องที่ค่อนข้างน่าเสียใจคือตอนที่หลันเอ๋อร์สอบได้ซุ่ยซื่อนั้น ในคฤหาสน์กลับไม่มีเสียงอะไรให้ได้ยินเลย
“จะว่าไปแล้วคุณชายรองเป่าของพวกเราก็เก่งจริงๆ ไม่เหมือนบุตรชายของนายท่านที่จวนตะวันตกที่ได้แต่มอง ส่วนตัวคุณชายรองเหลียนของบ้านใหญ่ก็ต้องอาศัยคนรู้จัก ไหนเลยจะเก่งเหมือนคุณชายรองเป่าของพวกเราที่สอบได้ด้วยตัวเอง” เสี่ยวหงทำเชือกถักพลางกล่าวชื่นชมคุณชายรองของตนเอง
พอได้อยู่ร่วมกันสักพัก หลินไต้อวี้เริ่มพอจับทางของเสี่ยวหงได้บ้างว่านางเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นและช่างปกป้องจึงนึกสนุก
“เสี่ยวหง เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลันเอ๋อร์สอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉมาตั้งนานแล้ว หากมิใช่เพราะอายุยังน้อย เขาอาจถูกรับตัวไปเป็นบัณฑิตในสำนักศึกษาหลวงแล้วก็ได้”
ต้องรู้กันก่อนว่าการอาศัยกำลังของตนเองแสวงหาความก้าวหน้าโดยไม่ได้อาศัยบารมีของวงศ์ตระกูลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ระหว่างที่คิดหลินไต้อวี้ก็ยัดขนมข้าวเหนียวถั่วแดงเข้าปาก สีหน้าเคลิบเคลิ้มด้วยความรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่งยวด
ชีวิตคนเราก็มีเรื่องกินนี่ล่ะที่เป็นความสุขอย่างแท้จริง
“คุณชายน้อยเป็นคนเก่งจริง แต่คุณชายรองของพวกเราก็ไม่เลวและไม่ได้อาศัยบารมีของวงศ์ตระกูลเหมือนกัน” เสี่ยวหงคิดแล้วพูดเสียงไม่ยอมแพ้ต่อว่า “คุณชายรองของพวกเรามีงานยุ่งทุกวัน จะมีเวลาว่างอ่านหนังสือได้สักเท่าใด ลำพังเวลาจะไปสำนักศึกษาก็ไม่มากแล้ว”
ปากของหลินไต้อวี้กำลังทำงานจึงไม่มีเวลาว่างตอบกลับ ฉิงเหวินที่กำลังพับเสื้อผ้าเก็บเข้าตู้จึงพูดเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ “ไม่แน่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้อาจเป็นเพราะแม่นางหลิน หาไม่ เพราะเหตุใดคุณชายรองที่ไม่เคยสนใจจะเข้ารับราชการถึงได้เปลี่ยนความคิดหลังจากที่ได้ไปเมืองหยางโจว”
“ไม่ใช่หรอก” หลินไต้อวี้กลืนขนมข้าวเหนียวถั่วแดงแล้วดื่มชาอุ่นๆ ตาม นางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดขาดว่า “เขาทำเพื่อถุงผ้าปัก”
“ถุงผ้าปักของผู้ใดหรือ” เสี่ยวหงถามอย่างแปลกใจ
“…ของข้า” ของของเสวี่ยเยี่ยนก็คือของของนาง ดังนั้นถ้าจะนับว่าเป็นของนางย่อมไม่ผิด
“เช่นนั้นก็พูดได้ว่าคุณชายรองทำเพื่อแม่นางหลิน ไม่แน่ว่าต่อไปท่านอาจขอบรรดาศักดิ์ให้แม่นางด้วย เช่นนี้นายหญิงจะต้องดีใจและมองเห็นความสำคัญของแม่นางหลินมากขึ้น แม่นางจะได้อาศัยบารมีสามีเชิดชูบุตรแล้วนะเจ้าคะ” เสี่ยวหงพูดเป็นตุเป็นตะ ทำเอาหลินไต้อวี้ชะงักเล็กน้อย
เป็นเช่นนี้จริงหรือ…แต่จะว่าไปปีศาจตนนั้นอาจทำไปเพื่อปกป้องนางจริงๆ