บทที่ 4
แสงอาทิตย์ตีวงโค้งกึ่งกลางแผ่นฟ้าพอดิบพอดี กระนั้นอะไรบางอย่างก็กลับขับเน้นให้ตึกใหญ่ทรงโบราณคร่ำคร่าดูจะทะมึนมืดในความรู้สึกผู้พบเห็นราวกับมีหมอกทึบซ้อนบัง สายลมผ่านหับบานเว้าแหว่งของหน้าต่างไม้หวิวครวญ ฟังคล้ายเสียงกระซิบสะอื้น เรียกให้ชายหนุ่มสองคนต้องยืนขนลุกชันอยู่ตรงหัวบันไดอย่างไม่อาจฝืน หนึ่งในนั้นกวาดสายตาหวาดๆ ขึ้นไปยังมุมม่านสลัวแสงบนชั้นสอง ลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอเมื่อโยงระยางของใยแมงมุมซ้อนซับกันดุจจะห่อคลุมอาณาเขตเบื้องบนไว้ และสิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวก็มีเพียงละอองฝุ่นละล่องคว้างกลางอากาศ
“ไม่ขึ้นไปไม่ได้เหรอพี่”
ชายหนุ่มกระซิบเสียงพร่า กระตุกแขนคนข้างกายยิกๆ ขณะที่อีกฝ่ายรวบรวมความกล้ากล่าวอย่างเคร่งขรึม
“วะ ก็คุณนิรุจบอกว่าให้ขึ้นมาสำรวจก่อน เค้ากำลังตามมา” ว่าพลางเหลือบตาขึ้นไปบ้าง “เราก็เดินๆ ดูกันก่อน เค้าถามอะไรจะได้พอตอบได้บ้าง”
“พี่…แต่เค้าว่าวังนี้มีผะ…”
มือหนาตะครุบปิดปากอีกฝ่ายไวว่อง เหงื่อกาฬผุดซึมเต็มใบหน้า
“ไอ้เวรนี่! โบราณว่าเข้าป่าอย่าถามหาเสือ ลงเรืออย่าถามหาจระเข้” เอ่ยจบก็กวาดสายตาอย่างหวาดระแวงอีกครั้ง ปลุกใจห่อเหี่ยวให้ฮึกเหิมด้วยถ้อยคำที่แทบไร้เรี่ยวแรงแต่มุ่งมั่น “ไหนๆ ก็ต้องทุบทิ้งอยู่แล้ว ไม่ช้าก็เร็วยังไงก็ต้องขึ้นไปอยู่ดีล่ะวะ”
เอ่ยเพียงเท่านั้นก็สูดหายใจเข้าเต็มปอด เดินนำหนุ่มรุ่นน้องย่างเหยียบขึ้นไปบนพื้นไม้ฝุ่นหนาซึ่งครางระงมเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าดบาดหู ม่านรุ่งริ่งริมหน้าต่างพยับไหวเบาๆ ราวถูกสัญจรผ่าน แล้วชายทั้งสองก็พลันสังเกตเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวในรอยประตูแง้มของห้องสุดโถงทางเดินบนชั้นสองอย่างรวดเร็ว
“พี่…ผมว่า…”
ยังไม่ทันเอ่ยให้จบคำ อีกฝ่ายก็รีบตอบรับรวดเร็ว
“เออ ลงไปรอคุณนิรุจกันเถอะ…”
แกรก…แกรก…
เสียงคล้ายปลายเล็บขูดพื้นไม้ลากยาว กังวานแว่วจนชายทั้งสองชะงักค้าง ลมกระสาไอพร้อมกลิ่นเหม็นหืนสายหนึ่งพัดเข้ามาแผ่วเบา…เป็นกลิ่นซึ่งอับขื่นๆ ปนอยู่กับความรู้สึกหน่วงเศร้าร้าวราน และโดยไม่รู้ตัว ชายทั้งสองก็ค่อยๆ หันหน้าไปยังห้องสุดปลายทางเดินนั้น ก่อนจะได้ให้แข็งค้างกับร่างเงากลางช่องว่างระหว่างประตูนั้น!
…หล่อนเป็นหญิงสาว ซีดเซียวไร้สีสัน เว้าแหว่งกลางม่านทะมึนจนคล้ายจะแหลกสลาย แต่สิ่งที่ทำให้ยะเยือกหนาวอย่างแท้จริงกลับเป็นดวงตาลึกโปนมัวซัวไร้ประกายซึ่งมีคราบน้ำตาสีดำราวหยดหมึกเกรอะกรัง เลื่อนลอย คล้ายจะติดค้างอยู่ในดินแดนร้างไร้ ก่อนที่หล่อนจะชะงักงันแล้วค่อยๆ กระตุกหน้าขึ้นมาสบมองทั้งสองเหมือนตุ๊กตาไขลาน พินิจจ้องก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย
แกรก…แกรก…
เสียงนั้นกระชั้นขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับครวญครางบางอย่างแผ่วแว่วขึ้นมาในหู เร่งเร้าบีบอัดปานจะขาดใจ…และโดยไม่ได้นัดหมาย ชายชาตรีทั้งสองก็กรีดร้องด้วยตระหนกสุดแสน วิ่งขาขวิดออกจากตึกหลังนั้นแทบไม่คิดชีวิต ล้มลุกคลุกคลานผ่านเงาไม้สูงซ้อนซับจนถึงบริเวณรั้วคร่ำคร่า กอดกันพัลวันด้วยหัวใจเต้นกระหน่ำอย่างไม่อาจสงบได้ง่ายดาย จังหวะเดียวกับที่รถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาพอดี
“มายืนทำอะไรกันตรงนี้ครับ”
นิรุจเปิดกระจกพลางเอ่ยถามขณะที่อีกฝ่ายยังงันงกแทบสิ้นสติอยู่รอมร่อ
“คุณ…คุณรุจ…ผะ…ผี” เอ่ยตะกุกตะกักเพียงเท่านั้นน้ำลายก็พลันเหนียวคอ ภาพเงาทะมึนผุดพรายในความทรงจำชวนพรั่นพรึง
“เอ้า ขึ้นรถมากับผมเถอะครับพี่ เดี๋ยวเข้าไปสำรวจรอบๆ กัน”
นิรุจไม่ได้สนใจท่าทางเหล่านั้น เขารอกระทั่งอีกฝ่ายทำใจชั่วครู่จนยอมขึ้นรถก่อนจะหักเลี้ยวเข้าไปในเขตรั้วที่ชายทั้งสองเพิ่งจากมา…เคหสถานรกร้างซึ่งบริษัทของเขากำลังจะเข้ามารื้อถอนเพื่อเปลี่ยนเป็นแหล่งลงทุนแห่งใหม่ตามสัญญาของผู้ว่าจ้าง
…วังอันเคยรุ่งโรจน์ในอดีตที่พ้นผ่าน…วังแห่งราชสกุลชโนทัย