LOVE
ทดลองอ่าน นิรันดร์บรรจบ บทที่ 4
ที่ผ่านมาชีวิตของลลิตาแทบเรียกได้ว่าไร้สีสันโดยสิ้นเชิง เธอเป็นเพียงเด็กต่างจังหวัด กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็กและเติบโตมากับยายผู้เป็นครูเกษียณราชการ กระนั้นความสามัญอันรายรอบหญิงสาวนี้กลับลักลอบเก็บซ่อนบางสิ่งที่เธอเองก็ไม่เข้าใจ…มันเป็นความหน่วงหนักประหลาดปนๆ กับการรอคอย ราวกับว่าลลิตามีความมุ่งมาดที่ไม่สามารถอธิบายได้ข้างใน สลักแน่นท่ามกลางความว่างเปล่าของจิตใจ และไม่เคยมีอะไรมาสั่นคลอนความรู้สึกนั้นเลยสักครั้งตั้งแต่จำความได้
บางครั้ง…เลือนรางสุดห้วงฝัน หากก็ยังเหมือนมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายที่ตอนท้ายกลับจบลงด้วยการพรากจากซึ่งทำให้เธอต้องสะดุ้งตื่นพร้อมน้ำตาพร่างนองหลายต่อหลายครั้ง แต่แม้จะเหลือทิ้งความร้าวรานแปลกประหลาดเอาไว้ ทว่าลลิตากลับไม่อาจจดจำเรื่องราวในฝันเหล่านั้นได้แม้แต่เรื่องเดียว เหมือนเส้นด้ายซึ่งยื้อยุดสุดแสนแต่กลับขาดผึงชั่วเสี้ยววินาที
อย่างไรก็ตามแรงหมุนเหวี่ยงบางอย่างกลับกำลังผลักดันหญิงสาวอย่างเงียบงันตลอดเวลา นับตั้งแต่วินาทีที่ได้สบตากับภีม ภานุวรรธน์ ณ อยุธยากลางแสงรำไรสุดท้ายในวังสวนกระจก…ไม่มีสัญญาณเตือนว่าความสงบงันจะถูกสั่นคลอนรุนแรงเพียงนี้ กระทั่งเหลือไว้แต่ดวงตาที่ลอบติดตามร่างสูงสง่าโดยไม่รู้ตัวนั้น ลลิตาตระหนักแค่ว่าการมีตัวตนอยู่ใกล้ชายหนุ่มก็เหมือนเยือนถึงสุดฝั่งจุดหมายหลังการรอนแรมเนิ่นนาน…
“รู้จักตาภีมมานานแค่ไหนแล้วจ๊ะ”
ถ้อยประโยคชวนคุยสะกิดเรียกหญิงสาวกลับสู่ปัจจุบันจนเกือบสะดุ้ง เรียวมือปั้นถั่วเหลืองกวนชะงักในชั่วขณะสั้นๆ และเกือบจะเอ่ยออกไปด้วยคำตอบที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าหากได้กล่าวจริงๆ จะพูดว่าเช่นไร ลลิตาเงยหน้าขึ้นสบตาคนถาม คุณย่าตุ่นกำลังจับจ้องมองมาด้วยดวงตากระจ่างใสดุจสาวรุ่นพร้อมรอยยิ้มจริงใจอย่างที่ทำให้เผลอยิ้มตามโดยไม่อาจห้าม
“ก็…เพิ่งจะรู้จักค่ะ ไม่นานมานี้เอง”
“อ้าว อย่างนั้นหรอกเหรอ” หญิงชราวางถั่วปั้นรูปร่างกระง่อนกระแง่นลงบนถาด ยากจะมองว่าเป็นรูปอะไร ก่อนเอนตัวเข้ามาพินิจลลิตาอย่างถ้วนถี่กว่าเดิมพร้อมกระซิบแผ่ว “นึกว่ารู้จักกันมานานแล้วเสียอีก”
เช่นเคย เธอเผยอปากตั้งท่าจะเอ่ยแล้วด้วยซ้ำ…ด้วยถ้อยคำที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่อาจบอกได้ บทสนทนาจึงหล่นหายไปเสียอย่างนั้น
“คนแก่ก็พูดไปเรื่อยแหละจ้ะ อย่าใส่ใจเลย”
คุณย่าตุ่นโบกมือไปมาเมื่อสังเกตเห็นว่าใบหน้าอ่อนวัยคล้ายจะสับสน หญิงชรายกยิ้มขณะกวาดมองความเรียบร้อยของเหล่าแม่ครัวที่นั่งปั้นลูกชุบใกล้กันก่อนหันกลับมายังลลิตาอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง
“ไหน ปั้นอะไรจ๊ะ”
เธอไม่มั่นใจในฝีมือการปั้นของตนนัก หากนี่ไม่ใช่ครั้งแรกในการทำลูกชุบของลลิตาด้วยเคยช่วยยายสมัยเด็กๆ จึงพอจะมองให้เป็นรูปเป็นร่างได้บ้าง
“มังคุดกับชมพู่ค่ะ”
“สวย” หญิงชรากล่าวชม ก้มพินิจอย่างถูกใจนักหนา “จิ้มลิ้ม น่าเอ็นดู”
คนปั้นยิ้มรับกึ่งๆ ติดจะขัดเขินเล็กน้อย เธอหันไปทางถั่วปั้นของคุณย่าตุ่นบ้างเพื่อจะดูให้ถนัดตาว่าเป็นรูปอะไร ทว่าเพ่งแล้วเพ่งอีกก็ยังอับจนถ้อยจะทายอยู่เช่นนั้นเอง
“กล้วยไม้จ้ะ ดอกกล้วยไม้”
“คะ?”
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนได้ให้กะพริบปริบๆ กับคำเฉลย ลลิตาก้มมองกลีบดอกกระท่อนกระแท่นเพื่อจินตนาการต่อรูปเติมร่างอย่างสุดความสามารถ ครั้นเหลือบไปเห็นกลุ่มแม่บ้านคนครัวใกล้กันส่งยิ้มเป็นเชิงเข้าใจมาให้จึงค่อยตระหนักว่าขอบเขตศิลปะของตนคงยังไกลไปไม่ถึงหญิงชราตรงหน้า
“ย่าชอบกล้วยไม้”
เรื่องเล่าที่ไม่ได้ถูกกล่าวออกมาวูบไหวผ่านเงาในดวงตาเพียงแวบสั้นๆ ก่อนเร้นหายง่ายดายและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มยกโค้ง
“คุณปู่เลยปลูกไว้เสียแยะ ตอนแรกก็แค่ปลูกไปอย่างนั้น หลังๆ เพาะเพิ่มก็เห็นว่างามดีจนได้ทำเป็นสวนกันจริงจัง อยู่นิ่งไม่เป็นหรอกคนนั้นน่ะ” ว่าพลางหัวเราะคิก “ก็พอดีมีรายได้ทางนี้มาส่งเด็กๆ ลูกคนงานเรียนหนังสือ ใครอยากเรียนอะไรก็เรียน ถึงไหนถึงกัน”
ลลิตาเผลอยิ้มกับเรื่องเล่าเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว สีหน้าของคุณย่าตุ่นยามเอ่ยถึงชายผู้เป็นที่รักเต็มเปี่ยมทั้งเชื่อมั่นและวางใจ ราวความรักนั้นคือสิ่งแน่ชัด จริงแท้ไร้ตำหนิ ถูกกำหนดและเสร็จสมบูรณ์ในตัวมันอยู่แล้ว
“ดีจังเลยค่ะ คุณปู่คงรักคุณย่ามาก”
หญิงชราไม่ได้ตอบรับถ้อยประโยคนั้นมากไปกว่าการก้มมองดอกกล้วยไม้ถั่วกวนในมือพร้อมรอยอ่อนหวานในแววตาครู่ขณะ ก่อนเงยหน้าขึ้นอีกครั้งเพื่อพินิจมองเลขาฯ ของหลานชายซึ่งหันไปปั้นมังคุดเล็กจิ๋วอย่างตั้งใจ ปล่อยให้ความเงียบยื้อยุดอยู่ในบรรยากาศสั้นๆ แล้วจึงรำพึงขึ้นอีกครั้ง
“เหมือนเคยเห็นที่ไหนจริงๆ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก”
“คะ?”
ลลิตาขานรับด้วยได้ยินไม่ใคร่ชัดนัก แต่คุณย่าตุ่นไม่ได้ทวนประโยคให้เธอ ซ้ำยังพาเปลี่ยนเรื่องอย่างง่ายดาย
“เปล่าจ้ะ…หนูลิตาล่ะ ชอบดอกไม้มั้ย”
“ชอบค่ะ ลิตาชอบที่ที่ต้นไม้เยอะๆ”
“แบบวังสวนกระจกน่ะหรือ” ดวงตาล่วงเลยวัยทอดมองอดีตในความทรงจำที่ยังแจ่มชัด “ตอนเด็กๆ ท่านพ่อทรงพาไปเล่นที่นั่นบ่อยๆ จำได้ว่าต้นไม้หนาตาเทียว แต่ย่าไม่ค่อยออกไปวิ่งเล่นเหมือนพี่ชายกฤษสักเท่าไหร่หรอก ตามเค้าไม่ทัน นู่นแน่ะ จับเจ่าอยู่ในห้องกับภาพ…”
หญิงชราปล่อยประโยคคั่งค้างไว้แต่เพียงเท่านั้นพร้อมหันมายังคู่สนทนาต่างวัยอีกครั้ง กังขา ประหลาดใจ ปนๆ มากับการตั้งท่าจะเอ่ยอะไรหากก็ยังเงียบไว้แล้วปล่อยถ้อยคำซึ่งไม่อาจรู้ได้ผ่านดวงตาแทน และก็เป็นฝ่ายคนรอฟังนั่นแหละที่ตรองตามพลางเดาที่เหลือต่อเอง…ด้วยรัดรึงของห้วงความรู้สึกโศกซึ้งครั้งเก่าอันยากจะอธิบายนั่น
“ภาพที่เขียนไว้ว่า ‘หอมมะลิกลีบซ้อน อ้อนวอนเจ้าไม่ฟังเอย’ ใช่มั้ยคะ”
คุณย่าตุ่นหันไปจับกลีบกล้วยไม้ถั่วกวนอีกครั้ง ทว่าสายตากลับทอดเหม่อออกไปในห้วงความคิด ครั้นเบนกลับมาสบอีกครั้งลลิตาก็มองเห็นตัวเองในเงาตาแจ่มชัดคู่นั้น ซ้อนทับกับอีกร่างสลัวหนึ่งซึ่งเธอเองก็ไม่อาจบอกได้เช่นกันว่าคือใคร พร้อมคำรำพันราวดังขึ้นจากไกลแสนไกล…
“ใช่…ใช่ ภาพนั้นแหละ…ใช่เลย”