ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บัญชาปราบโฉมงาม บทที่ 1
นัยน์ตาดำสนิทมองไม่เห็นก้นบึ้งของบุรุษผู้นี้ปกติจะมีประกายเยียบเย็นคมกริบทำให้คนเคารพยำเกรง แต่ยามมองสตรีในภาพวาด แววตากลับทอประกายลึกล้ำอ่อนโยนยากที่ผู้ใดจะสังเกตเห็น ในสายตาของผู้ที่มองมาจะเห็นเพียงว่าเขามองหญิงสาวในภาพ แต่ความจริงแล้วเขากำลังมองเงาของหญิงสาวอีกคนหนึ่งผ่านหน้าตาและลักษณะท่าทางของหญิงงามในภาพวาดต่างหาก
สายตาของเขาจดจ่อเช่นนั้น คล้ายจะสลักภาพวาดหญิงงามลงไปในสมอง เวลาคล้ายหยุดนิ่งอยู่กับที่ กระทั่งมีคนมาทำลายความเงียบ
“ฝ่าบาท พาคนมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนเจี๋ยปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังดุจเงา พลางรายงานเสียงต่ำต่อผู้เป็นนายด้วยความนอบน้อม
ในที่สุดไป่หลี่ซีก็เบนสายตาจากคนในภาพวาด ยามที่หันมามองหยวนเจี๋ย แสงอาทิตย์ก็ส่องกระทบใบหน้าหล่อเหลาเหนือผู้คนของเขา อู่ซีฮ่องเต้ในวัยสามสิบหก ทั่วร่างมีกลิ่นอายของบุรุษที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ท่วงทีสุภาพเยือกเย็น หนักแน่นสุขุมเก็บงำความรู้สึก รวมทั้งมีพลังอำนาจของผู้เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ที่จารึกอยู่ในกระดูก
ยามนี้ในดวงตาดำสนิทมีประกายเจิดจ้าระริกไหว น้ำเสียงก็คล้ายมีความพยายามกดข่มความตื่นเต้นดีใจเจืออยู่จางๆ
“คนเล่า?”
“จัดให้อยู่ที่เรือนซีจู๋ ให้คนดูแลปรนนิบัติรับใช้ ไม่กล้าละเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ในดวงตาของไป่หลี่ซีพลันเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เส้นสายบนใบหน้าที่ดูแข็งกระด้างเย็นชาก็ผ่อนคลายลง มุมปากหยักโค้งเป็นรอยยิ้มจางๆ รอยยิ้มนั้นอบอุ่นดุจแสงอาทิตย์ที่เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า ประกายอ่อนโยนละมุนละไมในดวงตาคล้ายสามารถแบกรับความมืดมิดในโลกนี้ได้
หยวนเจี๋ยที่ติดตามอยู่ข้างกายอีกฝ่ายมานานปีอดทอดถอนใจอยู่ในใจไม่ได้ เขาไม่ได้เห็นผู้เป็นนายดีใจเช่นนี้มานานแสนนานแล้ว
กี่ปีมาแล้ว นับแต่สตรีผู้นั้นหายตัวไป ฝ่าบาทก็ทรงไม่เคยมีความสุขอย่างแท้จริง
“หยวนเจี๋ย”
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ปีนี้นางอายุเท่าไรแล้ว”
“สิบเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”
“สิบเจ็ดแล้วหรือ…” ไป่หลี่ซีถอนใจเบาๆ ด้วยความปลื้มปีติ จากนั้นก็เอ่ยเบาๆ คล้ายพูดกับตนเอง “สิบเจ็ดปีแล้ว นางช่างเหี้ยม…”
ในน้ำเสียงที่ทอดถอนใจ นอกจากมีความสุขแล้วยังมีความเจ็บปวดชอกช้ำและไม่ยินยอม รวมทั้งความแค้นใจที่พูดไม่ออก
หยวนเจี๋ยรีบก้มหน้าลง ไม่กล้ามีความคิดเห็นต่อ ‘นาง’ ที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาแม้แต่น้อย หลายปีมานี้ ในโลกนี้ก็มีเพียงสตรีผู้นั้นที่ทำให้ผู้เป็นนายของเขาเฝ้าคิดถึงไม่ลืมเลือน แม้ผ่านไปหลายปีก็ยังคงฝังลึกอยู่ในใจราวใช้มีดสลักไว้ ไม่สามารถลบออก และไม่สมัครใจจะลบ
แต่ก็ไม่น่าแปลก สตรีผู้นั้น…พิเศษอย่างแท้จริง ดูเหมือนมีรักลึกซึ้งแต่กลับไร้ปรานี บอกไร้ใจแต่กลับมีใจ ตอนนั้นที่นางจากไปเป็นเพราะเห็นแก่ส่วนรวม คิดเพื่อฝ่าบาทอย่างแท้จริง เพียงแต่ในใจของฝ่าบาทไม่อาจปล่อยวางได้เท่านั้น เมื่อวันเวลาผ่านไปนานเข้าก็กลายเป็นปมในใจ และเป็นเคราะห์กรรมของพระองค์เอง
หยวนเจี๋ยติดตามผู้เป็นนายมาแต่ครั้งอีกฝ่ายยังเป็นรัชทายาท ตั้งแต่เป็นองครักษ์เล็กๆ ที่ไม่สำคัญ ไต่เต้าขึ้นมาจนมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการใหญ่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ ได้เห็นผู้เป็นนายย่ำผ่านกองโลหิตขึ้นมาทีละก้าวๆ กระทั่งได้นั่งบนบัลลังก์มังกรที่อยู่สูงสุดเหนือผู้คนด้วยตาตนเอง
แต่ไรมาผู้เป็นนายทำสิ่งใดก็จะตัดสินใจดำเนินการอย่างฉับพลัน ไม่โยกโย้พิรี้พิไร มีความเด็ดขาดและวิธีการของผู้เป็นกษัตริย์ เป็นความเปรื่องปราดที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่ยามอยู่ต่อหน้าสตรีผู้นั้น กลับเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน บางครั้งเขาเองก็ยังสงสัยว่าผู้เป็นนายใช่ถูกวางยาด้วยหนอนพิษหรือไม่ หาไม่เวลาผ่านไปนานปีเพียงนี้ เหตุใดถึงยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจอีก
เพื่อจะเอาตัวนางกลับมา ฝ่าบาทได้ทำทุกวิถีทาง กระทั่งไม่เลือกวิธีการ ทรงบัญชาให้ติดป้ายประกาศจับไปทั่วแคว้น เรื่องนี้ก็แล้วไปเถิด เวลานี้ยังจับลูกศิษย์ของผู้อื่นมาอีก ทั้งปล่อยข่าวออกไปว่าจะรับเป็นพระธิดาบุญธรรม และแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิง!
ข่าวปล่อยออกไปแล้ว ถัดจากนี้ก็ต้องดูว่าสตรีผู้นั้นจะเล่นด้วยหรือไม่ ในความคิดของหยวนเจี๋ย สตรีผู้นั้นใจดำอำมหิตมากพอ ไม่แน่ยังอาจตัดสินใจเด็ดขาดหลบซ่อนตัวไม่ออกมา ความมุ่งหวังของฝ่าบาทก็คงต้องคว้าน้ำเหลว
ทว่าคำพูดเหล่านี้หยวนเจี๋ยกล้าคิดอยู่เพียงในใจเท่านั้น ไม่กล้าเอ่ยออกจากปาก นั่นเป็นปมในใจของฝ่าบาท เป็นสิ่งต้องห้ามของผู้เป็นกษัตริย์ที่แตะต้องไม่ได้เด็ดขาด
ไป่หลี่ซีกล่าวกับหยวนเจี๋ยเบาๆ “ไปเถิด เราอยากจะไปดูนางให้เต็มตา”
“พ่ะย่ะค่ะ” หยวนเจี๋ยถอยไปอยู่ด้านหนึ่ง รอผู้เป็นนายเดินผ่านไปแล้วจึงตามหลังไปอย่างเงียบๆ
สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในเวลานี้คือคฤหาสน์ชานเมืองที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงสิบลี้ เพื่อหลบเลี่ยงหูตาของคนในวัง หลังจากพวกเขาจับตัวลูกศิษย์ของสตรีผู้นั้นได้ก็คุ้มกันและส่งตัวมายังเมืองหลวง จากนั้นก็จัดให้อยู่ที่นี่อย่างลับๆ
ระหว่างทางจากเรือนหลักไปที่เรือนซีจู๋ ไป่หลี่ซีก้าวย่างอย่างสุขุมมั่นคง ไม่รีบไม่ร้อน เฉกเช่นปกติ แต่หยวนเจี๋ยรับรู้ได้ถึงฝีเท้าที่เบาและรวดเร็วของผู้เป็นนาย
“หยวนเจี๋ย”
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าว่า…นางรูปร่างหน้าตาเหมือนคนในภาพหรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท แม่นางผู้นี้ดูสดใสมีชีวิตชีวากว่าคนในภาพพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ” มุมปากของไป่หลี่ซีหยักโค้งมากขึ้น จากนั้นก็ถามอย่างออกจะเป็นกังวล “ที่เราจับกุมนางมา นางโกรธหรือไม่”
หยวนเจี๋ยบ่นอุบอิบในใจ จับตัวผู้อื่นมายังจะกลัวผู้อื่นโกรธอีกหรือ ไม่ผิดจากที่คาด พอฝ่าบาทเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสตรีผู้นั้นก็เปลี่ยนเป็นไม่ปกติแล้ว แต่ปากของเขาไม่กล้าพูดออกไปเช่นนี้ จึงรีบตอบคำ “แม่นางผู้นี้ควบคุมอารมณ์ได้ดียิ่ง ไม่เอะอะไม่โวยวาย”
“อ้อ” ไป่หลี่ซีค่อนข้างคาดคิดไม่ถึง หันไปมองหยวนเจี๋ย “นางไม่เอะอะไม่โวยวาย แล้วไม่หวาดกลัวหรือ”
“แม่นางผู้นี้แม้อายุยังน้อย อุปนิสัยกลับสุขุมหนักแน่น มีท่วงท่าของการเป็นผู้นำ” ลูบตามขน ของผู้เป็นนายย่อมไม่ผิดแน่
ไป่หลี่ซีฟังแล้วดวงตาเปล่งประกายวาว รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้น ไม่พูดอะไรอีก หมุนตัวเดินไปข้างหน้าต่อ
หยวนเจี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็เดินตามหลังผู้เป็นนายไป