ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บัญชาปราบโฉมงาม บทที่ 1
หยวนเจี๋ยที่อยู่หน้าประตูก็ตื่นตะลึง ราวกับเป็นหินแกะสลักไปแล้ว ทว่าไป่หลี่ซีไม่มีเวลาจะไปสนใจเขา หากแต่มองจ้องอูอีเสวี่ยนิ่ง
“ไม่ผิด ข้าเป็นพ่อของเจ้า ส่วนแม่ของเจ้าก็คืออาจารย์ของเจ้า อูมู่ฉิน”
อูอีเสวี่ยปากอ้าตาค้าง พูดอะไรไม่ออกเป็นนานสองนาน แต่นางรู้คนผู้นี้ไม่มีความจำเป็นต้องโกหกนาง เพราะเขาเป็นฮ่องเต้ เขาไม่จำเป็นต้องทำทุกวิถีทางจับนางมาเพียงเพื่อจะโกหกนางว่าเขาเป็นพ่อของนาง
“…พ่อ”
“ใช่ นางหนูเสวี่ย เจ้าเป็นลูกของข้ากับฉินเอ๋อร์ เป็นลูกสาวของข้าไป่หลี่ซี” นัยน์ตาของเขาเปียกชุ่ม แม้จะพยายามข่มกลั้น แต่ขอบตาก็ยังคงแดงเรื่อ บุรุษไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ นับประสาอะไรกับบุรุษที่เป็นฮ่องเต้ น้ำตาของผู้เป็นกษัตริย์ล้ำค่ามากยิ่งนัก
สำหรับอูอีเสวี่ย นี่เป็นเรื่องน่าตื่นตระหนกตกใจเกินไปแล้ว นางไม่รู้ควรรับมืออย่างไร ฮ่องเต้เป็นบิดาของนาง เรื่องนี้ก็น่าตื่นตระหนกมากพอแล้ว แต่เทียบไม่ได้เลยกับความตื่นตระหนกตกใจที่นางมีต่ออีกเรื่องหนึ่ง
อาจารย์เป็นมารดาของนาง!
“จะเป็นไปได้อย่างไร อาจารย์นาง…นางไม่เคย…” อูอีเสวี่ยพูดขึ้นช้าๆ แต่เป็นนานก็พูดออกมาไม่จบประโยค
“นางหนูเสวี่ย อย่าตำหนินาง เป็นความผิดของพ่อเอง ที่นางไม่บอกเจ้าเพราะต้องการปกป้องเจ้า หากไม่ทำเช่นนั้น เจ้าคงไม่อาจใช้ชีวิตอย่างมีอิสระไร้สิ่งผูกมัดเช่นนี้ได้ เวลานี้ได้เห็นเจ้าด้วยตาตนเอง พ่อไม่อาจไม่ยอมรับ การตัดสินใจของนางในตอนนั้น…ถูกต้องแล้ว…” ทว่าก็โหดเหี้ยมไร้เยื่อใย ถึงกับปิดบังเขามานานเพียงนี้ ไม่ให้เขาได้รู้เลยว่าตนเองมีบุตรสาวที่น่ารักอยู่คนหนึ่ง กระทั่งเพื่อจะตัดขาดเบาะแสทั้งหมด แม้แต่บุตรสาวนางก็ปิดบัง ใช้ฐานะของอาจารย์มาดูแลบุตรสาว ความรู้สึกของเขาที่มีต่อสตรีผู้นั้นคือทั้งรัก ทั้งโกรธ ทั้งแค้นใจ
อูอีเสวี่ยก็ขอบตาแดงแล้วเช่นกัน หยาดน้ำตาเม็ดโตร่วงเผาะๆ ลงมา นางจับมือไป่หลี่ซี ร้องไห้ระบายความน้อยเนื้อต่ำใจ
“อาจารย์เป็นแม่ของข้า นี่มันเรื่องอะไรกัน เพราะเหตุใดนางจึงไม่บอกข้า ข้าอยู่กับนางมาหลายปีเพียงนี้ นางรักข้า เอ็นดูข้า แต่เพราะเหตุใดจึงปิดบังข้ามาโดยตลอด กระทั่งตายก็ไม่ยอมบอกข้า”
ไป่หลี่ซีรั้งตัวนางเข้ามากอดไว้ เช็ดน้ำตาให้นางด้วยความปวดใจ เขามีความคับแค้นใจมากพอกับบุตรสาว หญิงเจ้าเล่ห์ผู้นั้นไม่เพียงโกหกเขา ยังโกหกบุตรสาว ตอนนี้นับว่าดียิ่ง มีบุตรสาวโกรธนางร่วมกันกับเขา แต่เห็นบุตรสาวเสียใจเขาก็อดสงสารไม่ได้
“เจ้าไม่ต้องเสียใจ แม่ของเจ้ายังไม่ตาย”
เสียงร้องไห้พลันหยุดชะงัก อูอีเสวี่ยตื่นตระหนกตกใจอีกครั้ง ดวงตาชุ่มน้ำตากะพริบปริบๆ ถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “นางยังไม่ตาย?!”
“ใช่ พ่อหาตัวเจ้ามาก็เพื่อล่อนางให้ปรากฏตัวออกมา มีเพียงต้องทำเช่นนี้ พ่อจึงจะ…” เขาคิดจะบอกว่า ‘จึงจะจับตัวนางได้’ แต่รู้สึกว่าคำพูดนี้พูดต่อหน้าบุตรสาวดูจะไม่เหมาะสม ครั้นแล้วจึงเปลี่ยนคำพูด “พ่อจึงจะได้พบนาง”
ใช่แล้ว เขาต้องการพบนาง นางเข้าใจว่าแสร้งตายก็หลอกเขาได้เช่นนั้นหรือ เขาไป่หลี่ซีไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกได้ง่ายดาย ตอนรู้ว่านางอาจไม่ได้ตายเขาโกรธมาก
หญิงผู้นั้นถึงกับแกล้งตาย นางรู้หรือไม่ ตอนได้รับข่าวว่านางตายเขาเสียใจมากเพียงใด
รักมากเพียงใด หัวใจก็เจ็บปวดมากเพียงนั้น ความเสียใจของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความแค้น เขาแค้นนาง เขาจะต้องจับตัวนางมาให้ได้ การจับตัวนางได้กลายเป็นความมุ่งมั่นของเขาไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาไม่เพียงจับตัวบุตรสาวมา ยังออกประกาศจับไปทั่วทั้งใต้หล้า
ไม่ว่านางซุกซ่อนตัวอยู่ที่ใด ต่อให้ขึ้นสวรรค์ลงนรก เขาก็จะต้องหาตัวนางให้พบให้ได้!
เพลิงโทสะทั่วร่างของเขา แม้แต่อูอีเสวี่ยที่อยู่ในอ้อมแขนก็สัมผัสได้ นางกะพริบตาที่มีหยาดน้ำตาคลอขังมองสีหน้าของบิดา อย่าเห็นว่านางดูทึ่มทื่อ นางเป็นหญิงสาวที่งดงามฉลาดเฉียบแหลมผู้หนึ่ง
ฮ่องเต้เป็นบิดาของนาง อาจารย์เป็นมารดาของนาง คนในราชวงศ์กับคนในยุทธภพให้กำเนิดนาง แค่คิดก็รู้ว่าเบื้องหลังจะต้องมีเรื่องราวที่มีสีสันน่าสนใจแน่นอน อีกทั้งท่านแม่ยังแกล้งตาย ที่ทำไปหากไม่ใช่เพราะต้องการจะซุกซ่อนตัวจากท่านพ่อแล้วจะเป็นเรื่องใดได้
หัวสมองของอูอีเสวี่ยหมุนอย่างรวดเร็ว ที่ท่านพ่อฮ่องเต้ของนางจับตัวนางมาต้องทำไปเพื่อท่านแม่อาจารย์แน่นอน และเพราะเหตุใดท่านแม่อาจารย์จึงยอมแสร้งตาย ไม่ยอมพบหน้าท่านพ่อฮ่องเต้ เรื่องนี้จะต้องมีสาเหตุมากมายซ่อนแฝงอยู่ นางจะต้องรู้ให้แน่ชัด ครั้นแล้วนางก็คว้าชายเสื้อท่านพ่อฮ่องเต้ พร้อมเรียกออกมาคำหนึ่ง
“ท่านพ่อ”
สีหน้าที่หม่นขรึมของไป่หลี่ซีพลันตื่นจากภวังค์เพราะคำว่า ‘ท่านพ่อ’ ความเฉียบขาดดุดันในดวงตาก็เปลี่ยนเป็นใสกระจ่างเพราะน้ำเสียงนุ่มนวลละมุนละไมของบุตรสาว
“นางหนูเสวี่ย” เขาเรียกนางด้วยเสียงอ่อนโยน
“ท่านพ่อ ท่านโปรดเล่าให้ข้าฟังจะได้หรือไม่ ตอนนั้นท่านกับท่านแม่พบกันได้อย่างไร ข้าอยากฟังเรื่องราวของท่านพ่อท่านแม่ อยากเข้าใจพวกท่าน ข้าดีใจมากที่มีคนในครอบครัวแล้ว”
เมื่อใดที่อูอีเสวี่ยประจบออดอ้อนขึ้นมา ในหุบเขาหมื่นบุปผาไม่มีผู้ใดต้านทานได้ นอกจากนางจะมีความงามล่มบ้านล่มเมืองแล้ว อุปนิสัยก็ยิ่งทำให้คนรักและเอ็นดู เป็นหญิงสาวที่ชวนลุ่มหลง คนเห็นคนรัก ผีเห็นผีห่วงใย นางเป็นฝ่ายทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับไป่หลี่ซี แม้ไป่หลี่ซีจะเป็นกษัตริย์ผู้สูงศักดิ์ แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้านางก็เปลี่ยนเป็นบิดาที่ใจอ่อนเปี่ยมไปด้วยรักและเมตตา
เขาถอนหายใจยาว ดึงมือบุตรสาวมานั่งลง ขณะจะเล่าเรื่องในอดีตให้นางฟังอย่างละเอียดอยู่นั้นพลันหยุดชะงัก หันหน้ามองไป แล้วก็เห็นหยวนเจี๋ยเงี่ยหูรอฟัง สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นขรึมลงทันที
หยวนเจี๋ยถูกผู้เป็นนายถลึงตาใส่ก็ตกใจได้สติกลับคืนมา รีบเหยียดตัวยืนตรง
“หยวนเจี๋ย ปิดประตู สั่งการลงไปให้ทุกคนล่าถอยออกไปที่ลานด้านนอก ไม่มีคำสั่งจากเรา ห้ามเข้ามาใกล้เป็นอันขาด”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
หยวนเจี๋ยรีบปิดประตู แม้เขาจะอยากฟังมาก แต่เขาอยากจะรักษาศีรษะของตนไว้มากกว่า
อูอีเสวี่ยถึงกับเป็นพระธิดาของฝ่าบาท! ความลับนี้ยิ่งใหญ่นัก มิน่าฝ่าบาทจึงมีพระบัญชา ถ้านางบาดเจ็บแม้ผมสักเส้น ก็ให้พวกเขาบั่นศีรษะตนเองมาขอรับผิด นั่นคือองค์หญิงเชียวนะ
ดูจากท่าทางทะนุถนอมดุจของล้ำค่าหายากของฝ่าบาท ยังไม่เคยเห็นทรงปฏิบัติต่อองค์ชาย องค์หญิงองค์ใดในวังมาก่อน เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าในพระทัยของฝ่าบาท ตั้งแต่ต้นจนจบก็มีสตรีที่ชื่ออูมู่ฉินเพียงผู้เดียวเท่านั้น
แม้ดูภายนอกฝ่าบาทจะแค้นสตรีผู้นั้น แต่กับบุตรสาวที่นางเป็นผู้ให้กำเนิดกลับทรงทะนุถนอมยิ่ง มีเพียงต้องรักสตรีผู้นั้นอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะรักและทะนุถนอมลูกที่ทั้งสองให้กำเนิดมา ฝ่าบาทกำลังหลอกตนเองและหลอกผู้อื่น
หยวนเจี๋ยส่ายหน้า เขาสั่งทุกคนให้ล่าถอยออกไปข้างนอก มอบเรือนด้านในให้สองพ่อลูกได้พูดคุยกันอย่างใกล้ชิด เขามีลางสังหรณ์ องค์หญิงผู้นี้เป็นคนเฉลียวฉลาดเฉียบแหลม การปรากฏตัวของนางเป็นการเปลี่ยนพลิกสถานการณ์ จะต้องคลี่คลายปมที่อัดแน่นอยู่ในใจของฝ่าบาทมานานปี และทำให้สตรีผู้นั้นไม่ดื้อรั้นต่อไปอีกได้แน่นอน
ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองพ่อลูก ในที่สุดไป่หลี่ซีก็สามารถพูดคุยกับนางหนูเสวี่ยของเขาได้เต็มที่แล้ว
ในดวงตาของบุตรสาววาววับไปด้วยหยาดน้ำตา กำลังมองเขาอย่างเฝ้ารอคอย ทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบ ประหนึ่งมีน้ำอุ่นในฤดูใบไม้ผลิมารินรดหลอมละลายหัวใจที่ปิดแน่นเกาะตัวเป็นน้ำแข็งของเขา
“นางหนูเสวี่ย”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
ไป่หลี่ซีถูกคำว่า ‘ท่านพ่อ’ ที่นางเรียกทำให้รอยยิ้มกว้างไปถึงหัวคิ้ว ทั่วทั้งร่างโอนอ่อนผ่อนตามจนไม่มีท่าทีน่าเกรงขามหลงเหลือแม้แต่น้อย มีแต่ความรักและเอ็นดูเต็มเปี่ยม
“เรื่องนี้ต้องเริ่มจากเมื่อสิบแปดปีก่อน…”
ความทรงจำของไป่หลี่ซีล่องลอยไปยังเรื่องราวเมื่อสิบแปดปีก่อน ณ หมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลแห่งนั้น แม้จะไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์และบ้านเรือนที่งามหรูหรา ทั้งไม่มีอาหารเลิศรส ยิ่งไม่มีเหล่าขุนนางหมอบกราบอยู่กับพื้น แต่ช่วงเวลานั้นกลับเป็นช่วงเวลาที่เขามีอิสระไร้สิ่งผูกมัดและเรียบง่ายดีงามที่สุดในชีวิต
นางกับเขาในเวลานั้นไม่มีฐานะและตำแหน่งมาผูกมัด ไม่มีอำนาจอิทธิพลและผลประโยชน์มาพัวพัน เป็นเพียงสามีภรรยาคู่หนึ่งในหมู่บ้านชนบท
เรื่องราวเริ่มขึ้นจากตอนที่เขาได้พบกับนาง เขากับนางเดิมทีเป็นไปไม่ได้ที่จะได้พบเจอกัน ทั้งหมดเป็นเพราะสวรรค์ล้อเล่นกับคน…
โปรดติดตามตอนต่อไป…..