ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บัญชาปราบโฉมงาม บทที่ 3
ทว่าเขาไหนเลยจะรู้ อูมู่ฉินเติบโตอยู่ในหุบเขาหมื่นบุปผาตั้งแต่เล็ก ในการอบรมสั่งสอนที่นางได้รับมา ไม่มีความคิดว่าสตรีจะต้องพึ่งพาบุรุษอยู่เลย ทุกอย่างล้วนต้องพึ่งพาตนเอง ด้วยเหตุนี้ในสายตาของนาง การกระทำของหม่าเฉวียนจึงดูซื่อเกินไป บุรุษผู้นี้กระทั่งนางมีความเป็นมาอย่างไรก็ยังไม่ได้ถามให้แน่ชัด ทั้งยังให้นางอาศัยนอนมาตั้งหลายคืน ตัวเขาเองก็ยากจนข้นแค้นมากอยู่แล้ว เสื้อผ้าบนตัวยังมีรอยปะชุน แต่ก็ยังจะให้เสื้อผ้านางและเซ่อซ่าเอาเงินให้นางอีกด้วย
เฮ้อ ช่างซื่อเสียจริง ดีที่เขารูปร่างหน้าตาดุดัน ยังพอข่มขวัญคนได้ หาไม่ต้องถูกข่มเหงแน่นอน
หลังจากนางจากไปแล้ว ไป่หลี่ซีก็ทำเช่นทุกวัน หยิบจอบไปทำงานในนา ตกกลางคืนเขานอนอยู่บนเตียงของตนเอง คิดอยู่ในใจว่านางคงไปแล้วจริงๆ กระมัง
เขาหลับตาลง ภาพนางแย้มยิ้มพลันผุดขึ้นมาในสมอง จึงย่นหัวคิ้วน้อยๆ พลิกตัวไป ไม่คิดเรื่องอะไรอีก
วันถัดมาเขาลุกจากเตียงไปล้างหน้าบ้วนปากที่ลานด้านหลัง ตอนเดินผ่านห้องเก็บฟืนก็ชำเลืองตามองไปข้างในแวบหนึ่งโดยสัญชาตญาณ ข้างในไม่มีเงาร่างคน ในห้องครัวก็ไม่มีแผ่นแป้งม้วน
ถัดจากนั้นติดต่อกันสามวันก็ไม่เห็นนางกลับมา เขาจึงแน่ใจว่านางจากไปแล้วจริงๆ
วันนี้ไป่หลี่ซีขึ้นเขาล่าไก่ฟ้ามาได้ตัวหนึ่ง พอเห็นว่าเที่ยงวันแล้วเขาจึงหาที่ร่มเย็นแห่งหนึ่งนั่งลง หยิบห่อผ้าน้ำมันออกมา ในนั้นมีแผ่นแป้งม้วนไส้เนื้อที่เขาทำเมื่อเช้า จากนั้นเขาก็กัดไปคำหนึ่ง ก่อนจะย่นหัวคิ้ว
รสชาติของมันแย่มาก เปรียบกับที่มู่เอ๋อร์ทำแล้วแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ก็แค่แผ่นแป้งม้วนไส้เนื้อมิใช่หรือ เขาก็ทำตามแบบทุกอย่าง ดูภายนอกก็คล้ายกันมาก เหตุใดรสชาติกลับยากจะกลืนลงคอ
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่มีความอยากอาหารเหลืออยู่จึงเก็บแผ่นแป้งย่าง หยิบถุงหนังใส่น้ำขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง ก่อนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหว เขายังคงนิ่งงัน ไม่กระโตกกระตาก แสร้งทำเป็นดื่มน้ำต่อ แต่มืออีกข้างหนึ่งเลื่อนไปกุมดาบที่เอวแล้ว
ยามนั้นเองเงาร่างสีขาวสายหนึ่งทะยานลงมา ตามมาด้วยใบไม้ร่วงหลายใบ ร่างนั้นลงสู่พื้นอย่างไร้สุ้มเสียง เงาร่างสูงโปร่งยืนอยู่เบื้องหน้าเขาห่างไปราวสิบก้าว
ไป่หลี่ซีแสร้งทำเป็นตกใจลุกขึ้นยืน เขาจ้องมองอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็จ้องมองเขา
ตันไหวชิง! เขาประหลาดใจเล็กน้อย คิดในใจว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้
บ้านสกุลตันแห่งที่ราบทางตอนใต้แต่ไรมาก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ผดุงคุณธรรม และตันไหวชิงอยู่ในยุทธภพก็มีชื่อเสียงว่าเป็นฝ่ายธรรมะ ไป่หลี่ซีแม้จะมีฐานะเป็นราชนิกุล แต่ก็ลอบคบหาสหายในยุทธภพอยู่ไม่น้อย ครึ่งปีก่อนเขาแต่งตัวเป็นสามัญชนออกมานอกวัง ปลอมตัวเป็นชาวบ้าน เคยเห็นตันไหวชิงไกลๆ ในงานเลี้ยงใหญ่โตงานหนึ่ง ตอนนั้นยังนึกชื่นชมท่วงทีและรูปร่างลักษณะของคนผู้นี้
ตันไหวชิงเห็นเขาเป็นชาวบ้านคนหนึ่ง คล้ายถูกการปรากฏตัวของตนทำให้ตกใจจนทึ่มทื่อไปแล้วจึงประสานมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน “พี่น้องท่านนี้ รบกวนแล้ว อยากจะถามท่านว่าเคยเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งหรือไม่ นางอายุราวสิบหกสิบเจ็ด สูงประมาณนี้” เขาพูดพลางทำมือบอกระดับความสูง
ไป่หลี่ซีประสานมือให้เขาด้วยท่าทางเกรงใจ “จอมยุทธ์ท่านนี้ ในหมู่บ้านของเรามีหญิงสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดอยู่หลายคน ที่สูงประมาณนี้ยิ่งมีมาก”
“นางไม่ใช่หญิงสาวในหมู่บ้าน มาจากต่างถิ่น”
พออีกฝ่ายบอกว่ามาจากต่างถิ่น หัวใจของไป่หลี่ซีพลันกระตุกวาบนึกไปถึงมู่เอ๋อร์ นางหาใช่หญิงสาวในหมู่บ้าน มาจากต่างถิ่น อีกทั้งอายุและความสูงก็สอดคล้อง
ไป่หลี่ซีแสร้งทำเป็นงงงวยพลางสั่นศีรษะ “ไม่เคยเห็น และไม่เคยได้ยินว่ามีหญิงสาวมาจากต่างถิ่น คุณชายมีคนในครอบครัวพลัดพรากจากกันหรือ ข้าน้อยจะได้บอกคนในหมู่บ้าน ทุกคนจะได้ช่วยกันหา”
“ขอบอกตามตรง คนที่ข้าตามหาเป็นโจรหญิง”
ไป่หลี่ซีมีสีหน้าประหลาดใจ “โจรหญิง”
“โจรหญิงผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ข้าตามจับนางมาหลายวัน นางหนีมาที่นี่ ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาแห่งนี้ ท่านเคยเห็นผู้ใดน่าสงสัยหรือไม่”
ไป่หลี่ซีขมวดคิ้วสั่นศีรษะ “ขอถามจอมยุทธ์ โจรหญิงผู้นี้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรหรือ”
“นางรูปโฉมงดงามยิ่ง พราวเสน่ห์ชวนลุ่มหลง บุรุษเห็นแล้วเกรงว่าจะต้องถูกรูปโฉมโนมพรรณอันงดงามของนางทำให้หลงใหล”
พราวเสน่ห์ชวนลุ่มหลง? เช่นนั้นก็ไม่ใช่มู่เอ๋อร์แน่นอนแล้ว
ไม่รู้เพราะเหตุใดไป่หลี่ซีพลันรู้สึกวางใจแล้ว
“ข้าน้อยไม่เคยพบ ถ้ามีหญิงสาวลักษณะเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น จะต้องโจษจันเล่าขานกันในหมู่บ้าน ข่าวต้องแพร่กระจายออกมา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ยินข่าวคราวอะไร”
ตันไหวชิงเองก็คิดเช่นนี้ เขาถามคนในหมู่บ้านไปหลายคน ก็ไม่มีผู้ใดเคยเห็นโจรหญิงผู้นั้น
เขาประสานมือให้ชาวบ้านผู้นี้ “ยังอยากจะขอให้พี่น้องท่านนี้ช่วยบอกคนในหมู่บ้าน หากพบเห็นหญิงสาวรูปโฉมงดงามที่มาจากต่างถิ่น จะต้องระวังตัวให้มาก”
“ขอบคุณจอมยุทธ์ที่เตือน ข้าน้อยจะบอกให้คนในหมู่บ้านทราบ” ไป่หลี่ซีรีบค้อมเอวคารวะตอบ แสดงท่าทีซื่อๆ ดุจชาวบ้านในชนบท
ตันไหวชิงพยักหน้า “รบกวนแล้ว” จากนั้นก็สะกิดปลายเท้าใช้วิชาตัวเบา พริบตาเดียวคนก็หายลับไปในป่า เหลือเพียงใบไม้ที่ร่วงปลิดปลิวตามลมไม่กี่ใบ
ไป่หลี่ซีมองไปยังทิศทางที่ตันไหวชิงหายตัวไป ขณะกำลังครุ่นคิด พลันได้ยินเสียงแมลงร้องเรียกจากที่ไกล เขาคว้าสัตว์ที่ล่าได้ขึ้นมาและเดินเข้าไปในภูเขา หลังจากมาถึงถ้ำที่ซ่อนอยู่ในผนังผาแห่งนั้น ร่างก็พุ่งถลันเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เขาเข้าไปในถ้ำ หยวนเจี๋ยก็ปรากฏตัวขึ้น
“รัชทายาท”
“พูดมา มีข่าวอะไร”
“กระหม่อมตรวจพบว่าในเขตภูเขาลูกนี้ทั้งสี่ด้านมีคนวางค่ายกลไว้พ่ะย่ะค่ะ”
ไป่หลี่ซีชะงักอึ้ง สีหน้าเคร่งขรึมลง “เป็นผู้ใดกัน”
“คุณชายใหญ่บ้านสกุลตันแห่งที่ราบทางตอนใต้ ตันไหวชิง”
ได้ยินชื่อตันไหวชิง ไป่หลี่ซีก็นึกถึงเรื่องที่เขาพูดเมื่อครู่ก่อน แล้วก็เข้าใจในทันที
“ไม่เป็นไร ค่ายกลนั่นหาได้พุ่งเป้ามาที่เรา ไม่ต้องกังวล เมื่อครู่ระหว่างทางมา ข้าพบกับตันไหวชิงเข้า เขากำลังตามจับโจรหญิงผู้หนึ่ง”
หยวนเจี๋ยฟังแล้วก็ตระหนักรู้ขึ้นมา จากนั้นย่นหัวคิ้วพลางกล่าว ”รัชทายาท ค่ายกลที่เขาวางไว้ทำให้คนของเราถูกขัดขวางอยู่ภายนอกไม่กล้าเข้ามา ด้วยกลัวจะเปิดเผยร่องรอย แหวกหญ้าให้งูตื่น”
“คนในหมู่บ้านก็ออกไปไม่ได้หรือ”
“คนในหมู่บ้านจะออกไปมีเพียงเส้นทางเดียว เส้นทางสายนั้นค่ายกลที่เขาวางไว้ไม่ทำอันตรายคน แต่มีคนเฝ้าจับตาดูอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ไป่หลี่ซีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งการหยวนเจี๋ย “หวังเหล่าเอ้อร์ที่อยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้านทุกห้าวันจะออกจากหมู่บ้านเอาสินค้าไปขาย เฉินโก่วจื่อที่ทางใต้ของหมู่บ้านทุกสองสามวันจะต้องออกจากหมู่บ้านไปเล่นการพนัน ยามเข้าออกจงปลอมตัวเป็นสองคนนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ไปสืบดูว่าโจรที่ตันไหวชิงผู้นั้นต้องการจับตัวไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด ถ้าจับตัวได้ก็เอาไปมอบให้เขา”
“น้อมรับพระบัญชา”
หยวนเจี๋ยจะผละไปทว่ากลับถูกเขาเรียกกลับมา
“รัชทายาทยังมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ปล่อยข่าวออกไป ดูว่ามีหญิงสาวที่ชื่อมู่เอ๋อร์ออกจากหมู่บ้านหรือไม่ ถ้าพบเจอ ดูว่านางจะไปที่ใด ช่วยส่งนางไปให้ถึงที่หมายโดยปลอดภัย”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
“ไปเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หยวนเจี๋ยจากไปอย่างรวดเร็ว ไป่หลี่ซีก็เดินไปตามเส้นทางที่จะกลับกระท่อม เขาเห็นในพงหญ้ามีสุนัขป่าอยู่หลายตัว จึงนึกถึงแผ่นแป้งม้วนที่กินเหลือ และหยิบแผ่นแป้งม้วนที่ยากจะกลืนลงคอออกมาโยนไปที่ข้างทางให้สุนัขป่า
ทันใดนั้นก็มีเสียงคนดังขึ้นมาจากในพงหญ้า “แหวะ…รสชาติแย่มาก”
เขาจ้องมองไปที่พงหญ้าด้วยความตกใจ มือข้างหนึ่งจับดาบที่เอวด้วยสัญชาตญาณ เอ่ยถามเสียงหนัก “ผู้ใด”
เงาร่างคนร่างหนึ่งยืนขึ้นมา ในมือถือแผ่นแป้งม้วนที่เขาโยนทิ้งพลางต่อว่าเขา “ทำแผ่นแป้งม้วนอย่าใช้เนื้อหมักเกลือ จะไม่อร่อย”
เสียงนี้…ไป่หลี่ซีเขม้นตามองคนที่เนื้อตัวสกปรก ทั้งร่างไม่มีส่วนใดสะอาดเลยด้วยความประหลาดใจ สิ่งเดียวที่พอจะจำได้ก็คือดวงตาที่สุกใสแวววาวดุจลูกกวางน้อยคู่นั้น รวมทั้งเสียงที่สดใสกังวานเสนาะโสตนั่น
“มู่เอ๋อร์!” เขาอุทานออกมา
( ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 เม.ย 62 )