การออดอ้อนของอนุโฉมงามยังนับว่ามีความพอดีอยู่ อย่างไรบุรุษที่อยู่ตรงหน้าก็หาใช่บุคคลธรรมดา เนื่องจากเขาถนัดประจบประแจงหาผลประโยชน์ ถึงได้ปีนป่ายจากตระกูลบัณฑิตขึ้นมาจนถึงจุดนี้ได้ เขาใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานมาแย่งชิงผลประโยชน์ เวลาเข้าออกจวนก็รักษาหน้าตายิ่ง กระทั่งบ่าวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติข้างกายก็ต้องหน้าตาสะอาดสะอ้าน รูปร่างค่อนข้างดี
หนนี้ที่เสนาบดีเฉวียนออกมาทำงาน แม้นางจะรูปโฉมงดงามเพียงนี้แล้ว แต่บนเรือก็มีอยู่แล้วเจ็ดแปดคน ไหนจะบรรดานักดนตรีหญิงอีก หากคิดอยากมีพื้นที่ข้างกายเขา นางจะต้องวางตัวอย่างระมัดระวัง อย่าทำให้เขารำคาญไปเสียก่อน
ที่แท้อนุโฉมงามผู้นี้ก็กำลังประจบประแจงอยู่นี่เอง นึกไม่ถึงเลยว่าจะนำข้ามาเป็นข้ออ้าง ฉู่ซินเถียนยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแล้วพึมพำอยู่ในใจ
เสนาบดีเฉวียนกุมมือทั้งสองข้างของอนุโฉมงาม “ทางเมืองหลวงฝากฝังข้ามาไม่น้อย ข้าจะต้องคอยตอบรับสาร ต้องเขียนบางอย่างและส่งนกพิราบสื่อสารกลับไป” เขาลูบไล้มืออ่อนนุ่มของนาง “เอาล่ะ ไหนว่ามาซิว่าเมื่อคืนฝูอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”
“เขาโอบสาวน้อยสองคน ทั้งหอมทั้งกอดอยู่ตลอดคืน สุราดื่มไปหลายไห จวบจนกลางดึกถึงได้ให้สาวน้อยทั้งสองพยุงกลับห้องไปอย่างเมามาย คาดว่าคงตื่นตอนที่พ้นยามบ่ายไปแล้ว” อนุโฉมงามตัดพ้ออย่างอดไม่ได้ “ฝ่าบาททรงเลือกคนเช่นนี้มาทำงานร่วมกับใต้เท้า ไม่รู้ว่าพระองค์ทรงวางแผนอะไรอยู่”
เสนาบดีเฉวียนเพียงยิ้มไม่พูดจา เรื่องราวในนี้ยังมีแผนการของพระพันปีกับอัครเสนาบดีอยู่ด้วย เพียงแต่ว่าสตรีผู้หนึ่งไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องมากเพียงนั้น
อนุโฉมงามผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวยังคงกล่าวอวดฉลาดอีกครั้ง “หรือฝ่าบาททรงหวั่นเกรงฝูอ๋อง? ในเมืองหลวงไม่ได้มีคำเล่าลือว่าเจ้าสำนักไร้ทุกข์ก็คือเขาหรอกหรือ สำนักไร้ทุกข์สำนักนี้ก็คือสำนักชาวยุทธ์ที่ฝูอ๋องสร้างขึ้นมาเพื่อวางแผนแก้แค้นให้ฝูอ๋องคนก่อน?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสนาบดีเฉวียนก็พ่นลมออกจากจมูกพลางเอ่ยอย่างดูแคลน “ฝูอ๋องก็เป็นแค่ท่านอ๋องเจ้าสำราญเท่านั้น ไฉนจะมีความสามารถได้ คำเล่าลือก็เป็นแค่เรื่องโกหก มีแต่เด็กโง่เช่นเจ้าเท่านั้นแหละที่คิดจริงจัง”
กระนั้นเสนาบดีเฉวียนก็ชื่นชอบสตรีผู้โง่งม เพราะที่เขาต้องการก็คือร่างกายกับการปรนนิบัติของพวกนาง ไหวพริบกับความฉลาดล้วนไม่จำเป็น เขาก้มหน้าลงจุมพิตริมฝีปากของโฉมงามในอ้อมกอดซึ่งยู่ปากกล่าวว่า “ข้าไม่เชื่อ”
ฉู่ซินเถียนไร้วาจาไปโดยสิ้นเชิง ต่อให้นางจะเห็นด้วยกับคำพูดของเสนาบดีเฉวียน แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องปล่อยนางทิ้งไว้เป็นผู้ชม ต้องคอยดูเขากับอนุโฉมงามสนทนาอยู่ตรงนี้เลยนี่
แต่ไรมาชื่อเสียงของ ‘สำนักไร้ทุกข์’ ในเมืองหลวงนั้นเรียกได้ว่าไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก นั่นเป็นสำนักที่มีไว้เพื่อแก้ปัญหาให้ผู้คนโดยเฉพาะ ตั้งแต่เรื่องเล็กอย่างแอบฟังความลับของผู้อื่น ไปจนถึงเรื่องใหญ่อย่างการฆ่าล้างตระกูล ขอแค่เสนอจำนวนเงินที่เจ้าสำนักไร้ทุกข์พึงพอใจได้ รับรองว่าผู้ว่าจ้างจะไร้เรื่องทุกข์ใจแน่นอน แล้วก็เป็นเพราะมีการรับรองความสำเร็จเช่นนี้ จึงกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของราชสำนักและชาวยุทธ์ ราชสำนักก็หาทางสกัดการลงมือไม่ได้ ชาวยุทธ์ก็ไม่เป็นที่ต้องการอีก ทว่าก็ยังไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์มาก่อน
และก็ไม่รู้ว่าคำเล่าลือที่ว่าเจ้าสำนักไร้ทุกข์สกุลเว่ยนั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใด เป็นเพราะไม่มีเรื่องที่เขาทำไม่ได้ คนในยุทธภพที่เคารพเขาจึงเรียกขานเขาเป็น ‘เทพเจ้าแซ่เว่ย’ ส่วนคนที่เกลียดเขาก็ด่าทอเขาว่า ‘ปีศาจแซ่เว่ย’ ข่าวลือแพร่หลายไปมา ถึงกับพูดกันว่าคนสกุลเว่ยผู้นี้ก็คือฝูอ๋องเว่ยหลันโจว
ฉู่ซินเถียนจำได้แม่นยำนักว่ายามนั้นตอนที่นางได้ยินประโยคนี้ที่ลานด้านหลังจวนเสนาบดี อาการตอบสนองของบ่าวรับใช้รอบกายนางล้วนเหมือนกันยิ่ง…
‘ฝูอ๋องเป็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์ นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดในใต้หล้าแล้ว? ฮ่าๆๆ…’
‘หากเขาเป็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์ ข้าก็เป็นจักรพรรดิแล้วล่ะ! ฮ่าๆๆ…’
ฉู่ซินเถียนไม่เคยพบฝูอ๋องมาก่อน แต่นางเคยได้ยินว่าฝูอ๋องเป็นผู้มั่วโลกีย์รักสนุก แล้วก็เคยได้ยินเรื่องราวต่างๆ ของสำนักไร้ทุกข์ที่สามารถทำได้ทุกอย่าง ผู้ที่สามารถจับสองคนนี้มาวางอยู่ด้วยกันได้นั้น ทำให้นางคิดว่าสมองของคนผู้นั้นมีรู มิหนำซ้ำ…ยังเป็นรูที่ไม่เล็กเสียด้วย
เสนาบดีเฉวียนที่พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับอนุโฉมงามอยู่นั้น ในที่สุดก็เห็น ‘ขอนไม้’ ที่เริ่มเหม่อลอยท่อนนี้ได้เสียที เขาจึงโบกมือสั่งให้นางล่าถอยออกไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 พ.ย. 62