ฉู่ซินเถียนผงกศีรษะรับอย่างควบคุมไม่ได้ นางย่อมได้ยินอยู่แล้ว
“ข้าถึงว่าเด็กอย่างเจ้าจะฉลาดกว่านี้ไม่ได้เชียวหรือ ตัวเจ้าขึ้นไปบนดาดฟ้าหาเรื่องตายเองแท้ๆ ถือเป็นความผิดของเจ้าเองจริงหรือไม่”
ฉู่ซินเถียนได้แต่ผงกศีรษะรับอีกครั้งด้วยใบหน้าอมทุกข์ แต่นางก็อดเปิดปากเถียงกลับไปไม่ได้ “ก็ไม่ใช่ความผิดของหม่อมฉันเสียทั้งหมด หากท่านอ๋องใส่ยาสลบหนักมือกว่านี้อีกสักนิด หม่อมฉันก็จะตื่นขึ้นมาไม่ได้ ย่อมไม่มีเรื่องราวในภายหลังแล้ว…ใช่หรือไม่เพคะ”
ในดวงตาของเขามีรอยยิ้มวาบผ่าน แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว จะให้ปล่อยตัวเจ้าไปย่อมเป็นไปไม่ได้” เขาถอนหายใจด้วยท่าทีที่จริงจังยิ่ง “น่าเสียดาย ข้ายังประทานรางวัลให้เจ้าตั้งห้าสิบตำลึง เดิมคิดว่าหลังข้าสังหารเสนาบดีเฉวียนแล้ว เจ้าไม่ใช่แค่เป็นอิสระ ซ้ำยังมีเงินพอให้ไปหาหมู่บ้านเล็กๆ สักแห่งอยู่ แล้วทำเรื่องที่เจ้าอยากทำได้ แน่นอนว่ารวมถึงยาที่มีมากพอให้เจ้ากินได้ถึงสามปี ข้าก็สั่งให้คนเตรียมไว้แล้วด้วย นับว่าข้าทำดีที่สุดแล้วกระมัง”
ห้าสิบตำลึง?! ฉู่ซินเถียนตาเบิกกว้างทันใด นางรีบกล่าวอย่างเร่งร้อน “ไม่มีนี่เพคะ เสนาบดีเฉวียนมอบให้หม่อมฉันแค่ถุงเงินเล็กๆ ใบหนึ่งเท่านั้น” นางไปชั่วอึดใจก่อนจะคิดได้ในทันใด “น่าชังนัก นึกไม่ถึงว่าเขาจะเอาเงินของหม่อมฉันไป!”
ฉู่ซินเถียนโมโหจนลุกขึ้นนั่ง ทว่ากลับเห็นเว่ยหลันโจวยิ้มออกมา
ไม่รู้ว่านางได้ยินแค่ประโยคครึ่งแรก โดยไม่ได้ยินประโยคครึ่งหลังของเขาหรือไร เว่ยหลันโจวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ฉู่ซินเถียนมองเขาอย่างกระอักกระอ่วน “เอ่อ ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้ที่มีชื่อเสียงเลวร้ายเช่นท่านที่แท้ก็เปี่ยมด้วยน้ำใจมากเพียงนี้…” เห็นเว่ยหลันโจวเลิกคิ้วขึ้นอีกครั้ง นางก็กลืนน้ำลายอีกหน ก่อนจะกล่าวคำพูดน่าฟังบางอย่างออกมา “หม่อมฉันจะบอกว่าเงินที่ถูกเอาไปแล้วก็ช่างมันเถอะ ในเมื่อท่านอ๋องมีใจอยากให้หม่อมฉันได้ไปทำเรื่องที่หม่อมฉันอยากทำ เช่นนั้นท่านอ๋องก็ปล่อยหม่อมฉันไปดีหรือไม่ หม่อมฉันขอสาบานต่อฟ้าว่าจะไม่มีวันพูดเรื่องลูกน้องของท่านอ๋องเป็นคนสังหารคนทั้งเรือลำนี้แน่นอน” นางยกมือขวาขึ้นสูงเพื่อยืนยันคำพูด
เว่ยหลันโจวเองก็ลุกขึ้นมานั่งเช่นกัน เขามองดูใบหน้าเล็กๆ ที่จริงจังเป็นพิเศษนี้แล้วก็รู้สึกเพียงว่านางทั้งน่าโมโหและน่าขบขันยิ่ง เด็กนี่ไม่ได้รู้สึกสึกตัวเลยสักนิด ทั้งที่นอนคุยกับบุรุษตัวโตบนเตียงแท้ๆ ถึงกับพูดคุยได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง
เขาลงจากเตียง ก้าวเดินไปยังเก้าอี้แล้วนั่งลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนาง “ไม่ได้ ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ว่ามีเพียงคนตายที่พูดไม่ได้”
ฉู่ซินเถียนเองก็กระโดดตามลงมายืนบนพื้น แล้วเดินเร็วๆ ไปหยุดตรงหน้าเขา เมื่อเห็นเขายื่นมือออกไปหยิบกาน้ำชา นางก็รีบแย่งกาน้ำชามาถือไว้พลางค้อมตัวลง รินน้ำชาให้เขาอย่างนอบน้อม เค้นหาหนทางอื่นจนสุดความสามารถ “เช่นนั้น…เมื่อครู่ท่านอ๋องไม่ได้เพิ่งกล่าวว่าคนที่ตายไปเหล่านั้นล้วนเลือกนายผิดหรอกหรือ เช่นนั้นนับจากวันนี้ไป หม่อมฉันขอมองท่านเป็นนายได้หรือไม่”
เว่ยหลันโจวยกถ้วยขึ้นเพื่อดื่มชาลงไป เขาหลับตาครุ่นคิด ก่อนจะลืมตาขึ้นมองใบหน้าประจบประแจงของนาง พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “แต่เจ้าก็ดูถูกข้ามาก บอกว่าข้าเป็นคนไร้ค่าที่ตกต่ำ บอกว่าข้าไม่ศึกษาเล่าเรียน หมกมุ่นในกาม เป็นคุณชายเสเพลที่ไม่มีความคิดผู้หนึ่ง ข้าจะต้องพิจารณาตนเอง ทั้งยังบอกว่าข้ากิน ดื่ม เที่ยว เล่นพนัน นับเป็นคนเลวร้ายอย่างยิ่ง”
คนผู้นี้เอาเรี่ยวแรงมาจดจำคำพูดของข้าจนครบถ้วนเช่นนี้ทำไมกัน ใบหน้าของฉู่ซินเถียนมีสีแดงสลับขาว ปากอ้าๆ หุบๆ แต่กลับกล่าววาจาโต้แย้งไม่ออกแม้แต่คำเดียว