บทที่สี่
ฉู่ซินเถียนไม่มีเวลาไปพิสูจน์เรื่องนั้นนัก เพราะเดินทางไปได้ไม่ถึงหนึ่งวันเรือก็เตรียมเข้าเทียบฝั่งที่เฉินโจวแล้ว
ริมแม่น้ำยังมีเรือลำน้อยใหญ่จอดเทียบฝั่งอยู่ไม่น้อย มีพวกลูกเรือเดินขึ้นลงเรือทำงานกันอยู่บริเวณนั้น ทั้งยังชาวบ้านเดินไปเดินมาอยู่ริมฝั่ง ยามที่พวกเขาได้เห็นเรือหรูหราโอ่อ่าลำใหญ่ค่อยๆ จอดเทียบฝั่งนั้น บนใบหน้าของแต่ละคนล้วนประหลาดใจ พวกเขาหยุดฝีเท้ามองดู กระทั่งตัวเรือเข้ามาจอดใกล้ๆ และทุกคนได้เห็นดาดฟ้าเรือที่เต็มไปด้วยซากศพกระจัดกระจายแล้ว ต่างก็หน้าเปลี่ยนสีและกรีดร้องออกมา ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดความวุ่นวายขึ้น มีบางคนที่วิ่งหนี มีบางคนที่ซ่อนตัว และยังมีบางคนที่ดูไม่รู้เรื่องรู้ราว
ยามที่บันไดลงเรือถูกปล่อยลงมา องครักษ์รูปร่างสูงใหญ่ที่มีสีหน้าเคร่งขรึมก็ยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น ทำให้ผู้คนบางส่วนที่ตอนแรกยังพอใจกล้าอยู่บ้างไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก
ความจริงเว่ยหลันโจวได้สั่งให้คนไปแจ้งแก่ขุนนางท้องถิ่นแต่แรกแล้ว ด้วยเหตุนี้รอไม่ถึงครึ่งก้านธูป ขุนนางท้องถิ่นสวีซั่นก็นั่งรถม้านำกลุ่มเจ้าหน้าที่ขี่ม้าเร่งรีบมาถึง
ชาวบ้านที่ทั้งหวาดกลัวแต่ก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงพากันกระซิบกระซาบและมุงดูอยู่บนฝั่ง เมื่อเห็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ทางการกลุ่มนี้มาถึงก็เปิดทางให้ทันที
สวีซั่นลงจากรถม้า นำคนกลุ่มหนึ่งเดินอย่างรวดเร็วขึ้นบันไดเรือไป เขามองดูดาดฟ้าที่ย้อมไปด้วยโลหิตและศพบ้างหงายร่างบ้างคว่ำหน้าจำนวนมากอย่างตกใจ คราบโลหิตแห้งกรังและกลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียนที่ลอยเข้ามาในจมูกนั้น ทำให้สีหน้าทุกคนต่างซีดขาว นอกจากสวีซั่นจะเกิดอาการคลื่นไส้อยากอาเจียนแล้ว เขายังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนยิ่ง เขายกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอย่างอดไม่อยู่ คิ้วขมวดแน่น เขารีบออกคำสั่งให้ลูกน้องจัดการศพรวมถึงทำความสะอาดตัวเรือทันที
“ใต้เท้าสวี ฝูอ๋องอยู่ข้างในขอรับ”
บ่าวชายผู้หนึ่งที่อยู่บนเรือบอกให้สวีซั่นรู้ เขาผงกศีรษะก่อนจะเดินตามไป กระนั้นก็อดบ่นกับบ่าวชายผู้นั้นไม่ได้ “เหตุใดจึงไม่จัดการเก็บกวาดศพเหล่านั้น”
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่า หลังใต้เท้าสวีขึ้นเรือแล้วจึงจะจัดการ” บ่าวชายผู้นั้นกล่าวตอบอย่างนอบน้อม
สวีซั่นได้แต่เบ้ปาก ยามที่สองเท้าของเขาเหยียบขึ้นไปบนดาดฟ้าที่เปื้อนไปด้วยคราบโลหิต ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจยิ่ง เขาได้แต่กลั้นลมหายใจตลอดเวลา ฝืนอดทนต่อกลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียน เดินตรงไปข้างบนจนถึงชั้นบนสุดของห้องพัก
เห็นได้ชัดว่าในห้องพักประณีตหรูหราแห่งนี้ไม่เคยผ่านการย้อมด้วยโลหิตมาก่อน ทุกอย่างมองดูมีระเบียบเรียบร้อย ภายในห้องยังมีกลิ่นของไม้กฤษณาลอยอวลอยู่
สวีซั่นกวาดตามองห้องพักอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเดินเข้าไปข้างใน ก่อนจะเห็นบุรุษผู้หนึ่งนอนกึ่งตะแคงอยู่บนเตียงได้ในทันที ใจเขาอดตกตะลึงไม่ได้ เนื่องจากได้ยินมานานแล้วว่าฝูอ๋องเป็นคนเจ้าสำราญที่มีรูปโฉมเหนือสามัญ ท่วงท่าสง่างามองอาจ เห็นทีคำเล่าลือนี้จะไม่ใช่เรื่องโกหก
หลังเก็บซ่อนความตกตะลึงในใจลงไป สวีซั่นก็เดินขึ้นหน้าไปประสานมือคารวะ “กระหม่อมสวีซั่นคารวะท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“ใต้เท้าสวีมาแล้วหรือ” เว่ยหลันโจวนอนตะแคงร่างอยู่บนเตียงอย่างอ่อนล้า บนใบหน้าสามารถมองเห็นความตื่นตระหนกที่ยังหลงเหลืออยู่ ริมฝีปากเองก็ซีดขาวน้อยๆ แต่ทั้งหมดนี้กลับไม่ได้ทำลายความหล่อเหลาองอาจของเขาสักนิด “พอข้าได้พบกับใต้เท้าแล้ว ในใจถึงได้รู้สึกมั่นคงขึ้นมา จู่ๆ เมื่อสองคืนก่อนก็มีโจรสลัดบุกขึ้นเรือ พวกเราต่อสู้กัน คนตายมีมากมายนัก กระทั่งเสนาบดีเฉวียนเองก็ต้องตายอย่างอนาถ หากไม่มีองครักษ์ที่ยินยอมสละชีพเพื่อข้า ยามนี้ข้าก็คง…ทำให้ข้าตกใจแทบตายแล้วจริงๆ” มือเรียวยาวของเว่ยหลันโจวตบลงไปบนหน้าอกตนเองเบาๆ