นี่นับเป็นครั้งแรกที่เซียวจวิ้นเจ็บหนักขนาดนี้ หงจูเห็นแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก เหล่าไท่จวินกับหมอล้วนยังไม่มา นางเองก็ไม่รู้ควรทำเช่นไร
หงจูสั่งให้คนเตรียมน้ำร้อน เสื้อผ้า และยืนลังเลอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้จะตามสะใภ้รองมาดีหรือไม่ พอคิดว่าฐานะของสะใภ้รองน่ากระอักกระอ่วน สุดท้ายจึงไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการ ลอบคิดว่ารอให้เหล่าไท่จวินมาถึงค่อยว่ากันดีกว่า ระหว่างคิดก็ได้ยินสาวใช้เข้ามารายงานว่าสะใภ้รองมา หงจูฟังแล้วเหมือนมีพระมาโปรด นางรีบออกมาต้อนรับทันที
หลี่เมิ่งซีก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เห็นสาวใช้กับบ่าวหญิงสูงวัยเบียดกันอยู่เต็มห้อง ต่างยืนนิ่งด้วยไม่รู้ควรทำอย่างไร ส่งเสียงเอะอะจอแจไปหมด นางอดนิ่วหน้าไม่ได้และไล่ทุกคนออกไป
พูดคุยกับหงจูสองสามคำ เห็นนางเตรียมน้ำร้อนกับเสื้อผ้าไว้แล้วจึงสั่งให้นางต้มสุรา เตรียมมีดเล่มเล็ก และของจำเป็นอื่นๆ จากนั้นเขียนใบสั่งยาและสั่งให้หงจูหาคนไปจัดยามา ต้มน้ำเพื่อประคบขาให้เซียวจวิ้น ถึงอย่างไรเซียวจวิ้นก็คุกเข่ามาเกือบหนึ่งวันหนึ่งคืน อีกทั้งในศาลบรรพชนยังเย็นและชื้น หากไม่รีบขจัดไอเย็นออกไปย่อมเป็นโรคเกี่ยวกับข้อต่อได้ง่าย สุดท้ายจึงสั่งให้คนตามเซียวซย่าและเซียวเหิงมา
จัดการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว หลี่เมิ่งซีก็ก้าวเข้าไปในห้องด้านใน เห็นเซียวจวิ้นหลับตาแน่นนอนอยู่บนเตียง กล้ามเนื้อแขนขวาแข็งตึงและมีอาการหดเกร็งเป็นพักๆ ตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ยังดีที่ไม่ได้เป็นบาดทะยัก เพียงแต่แผลที่ถูกกรรไกรบาดเมื่อวานนี้อักเสบและเป็นหนอง หากไม่รีบรักษาเกรงว่าแขนข้างนี้ก็คงพิการเช่นกัน ใช้มือแตะหน้าผากเขาก็พบว่าร้อนระอุ นางลอบอุทานในใจ อันตรายยิ่งนัก หากไม่เพราะตนใจดีมาที่นี่ กว่าหมอจะมาถึง เขาที่ไข้สูงขนาดนี้คงกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปแล้ว
เข้ามาอยู่ในยุคโบราณนานขนาดนี้ หลี่เมิ่งซีตระหนักถึงความรวดเร็วในการตามหมออย่างดี สมัยโบราณไม่มีรถยนต์ แม้แต่จักรยานก็ไม่มี ได้แต่อาศัยรถม้ากับเกี้ยว เวลาไม่ถึงชั่วยามก็อย่าหวังเลยว่าหมอจะมาถึง นี่ยังเป็นสกุลที่มีอำนาจอย่างสกุลเซียว เรียกหมอแล้วหมอย่อมมาทันที หากเป็นสกุลเล็กๆ ต้องรอให้หมอเสร็จธุระในมือก่อน ไม่ได้ครึ่งวันอย่าหวังเลยว่าจะมาถึง
ตรวจเสร็จเรียบร้อย นางก็หยิบยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมาจากกล่อง ส่งให้จือซย่าและพูดกับหงจู “นี่เป็นยาที่คุณชายรองมอบให้ข้าก่อนหน้านี้ หมอยังไม่มาจะนิ่งรอเฉยๆ ไม่ได้ ล้วนเป็นยารักษาบาดแผลเช่นกัน เอายานี้ให้คุณชายรองกินก่อน ไม่แน่อาจใช้ได้ผล”
จือซย่ารับยาพลางเหลือบมองหงจูอย่างประหม่า หันกลับไปเห็นสีหน้าสุขุมของสะใภ้รองแล้ว คิดถึงคำพูดที่สะใภ้รองพูดในเรือนโซ่วสี่เมื่อวาน นางลอบอุทานในใจว่า สะใภ้รองผู้นี้ช่างใจกล้าบ้าบิ่นโดยแท้ โกหกได้โดยหน้าไม่เปลี่ยนสีลมหายใจไม่หอบแม้แต่น้อย ไม่กลัวว่าจะถูกเปิดโปงด้วย
หลี่เมิ่งซีจะกลัวอะไรเล่า ยาที่เซียวจวิ้นมอบให้นางก่อนหน้านี้ก็มาจากร้านยาอี๋ชุนของนางเอง ถึงอย่างไรยาที่นางปรุงก็หน้าตาคล้ายๆ กันอยู่แล้ว อีกอย่างคือยานี้ให้หงจูเห็นเท่านั้น สุดท้ายนางก็จงใจส่งให้จือซย่า ไม่เชื่อหรอกว่าหงจูมองไกลๆ จะจับพิรุธอะไรได้
มองยาในมือจือซย่า หงจูก็ลังเลเล็กน้อย นางเอ่ยปากโน้มน้าว “สะใภ้รอง ยาจะกินส่งเดชไม่ได้ ตามความเห็นของบ่าว รอหมอมาถึงก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”
ยานี้คุณชายรองเป็นคนมอบให้สะใภ้รองก็จริง ทว่านั่นเป็นยาบำรุงเลือดลมของสตรี คุณชายรองกำชับนางเพียงว่านายหญิงใหญ่ลงโทษให้สะใภ้รองคุกเข่าจึงมอบยาบรรเทาฟกช้ำและช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนดีขึ้นไปให้ สะใภ้รองคงคิดว่านี่เป็นยารักษาบาดแผลกระมัง หงจูหรือจะรู้ว่ายานี้ถูกหลี่เมิ่งซีสับเปลี่ยนแล้ว ใจคิดว่าสะใภ้รองหวังดี แต่ยานี้เป็นยาสำหรับสตรี คุณชายรองเป็นบุรุษ กินยานี้จะมีประโยชน์อะไรเล่า!
อีกอย่างอีกฝ่ายก็เป็นถึงคุณชาย ในเมื่อไม่มีคำสั่งจากหมอ ใครจะกล้าใช้ยาส่งเดช เบื่อชีวิตแล้วหรือไร
ฟังคำพูดหงจูแล้วจือซย่าก็มองหลี่เมิ่งซีอย่างประหม่า เห็นนางพูดกับหงจู “รอหมอมายังไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไร ล้วนเป็นยาช่วยในการหมุนเวียนของโลหิต กินแล้วย่อมมีประโยชน์แน่ เร็วเข้าเถอะ คุณชายรองไข้สูงขนาดนี้จะรอหมอมาถึงไหวหรือ”
รอไม่ไหวก็ไม่อาจใช้ยาส่งเดชได้! หงจูโอดครวญในใจ ไม่พูดถึงว่ายานี้คุณชายรองกินแล้วไม่เกิดประโยชน์ แต่คุณชายรองเป็นแก้วตาดวงใจของเหล่าไท่จวินเชียวนะ แม้แต่หมอยังไม่กล้าใช้ยาส่งเดชเพราะเกรงว่าจะเกิดความผิดพลาด เผลอไปล่วงเกินสกุลสูงศักดิ์เข้า ทำให้ขาดแหล่งทำมาหากิน