จือซย่าเห็นเช่นนั้นก็ร้องบอกอย่างร้อนใจ “สะใภ้รอง เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่มาแล้ว พวกเราออกไปต้อนรับก่อนเถอะเจ้าค่ะ แผลของคุณชายรองไว้ค่อยกลับมาจัดการต่อก็ยังไม่สาย ประเดี๋ยวเหล่าไท่จวินจะตำหนิท่านได้ว่าไม่เคารพนาง”
หลี่เมิ่งซีเอาแต่ขูดเนื้อเน่าบนมือของเซียวจวิ้นออกอย่างระมัดระวัง
“สะใภ้รอง เหล่าไท่จวิน…”
“ช่างนางเถอะ!”
ครั้นเห็นหลี่เมิ่งซีไม่สนใจ จือซย่าจึงโน้มน้าวต่อ แต่ถูกหลี่เมิ่งซีขัดด้วยความรำคาญ เห็นหลี่เมิ่งซีเป็นเช่นนี้ จือซย่าจึงส่ายหน้าและเดินไปที่ประตูอย่างจนใจ ถึงหน้าประตูแล้ว คิดดูอีกทีก็เดินย้อนกลับมายืนอยู่ข้างกายหลี่เมิ่งซี คอยเป็นผู้ช่วยของนาง
ไม่นานคนกลุ่มใหญ่ก็ห้อมล้อมเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่เดินเข้ามา ถึงหน้าเตียงของเซียวจวิ้น เห็นเนื้อเน่าเฟะกับเลือดเต็มฝ่ามือแล้ว เหล่าไท่จวินพลันปวดใจ ยังไม่ทันนั่งลงก็ร้องเรียกหลานรักยื่นมือไปจะคว้าแขนเซียวจวิ้นมา แต่กลับถูกนายท่านใหญ่ขวางไว้ก่อน
ด้วยเป็นบุรุษ แม้หัวใจจะเจ็บปวดปางตายเพียงใดก็รู้ว่ามิอาจรบกวนได้ในเวลานี้ เขาจึงโน้มน้าวเหล่าไท่จวิน “ซีเอ๋อร์จัดการกับแผลอยู่ มารดาอย่าเพิ่งรบกวนเลย หาไม่นางจะเสียสมาธิ เกิดความผิดพลาดได้”
ฟังนายท่านใหญ่พูดเช่นนี้ เหล่าไท่จวินจึงได้สติและไม่พูดอะไรอีก เพียงนั่งดูอยู่ด้านข้าง หัวใจบีบรัดเพราะแผลของเซียวจวิ้น เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ไม่มีใครใส่ใจว่าหลี่เมิ่งซีเสียมารยาท ยิ่งไม่มีใครสงสัยว่าหลี่เมิ่งซีผู้เป็นสะใภ้ในคฤหาสน์ทำเรื่องพวกนี้เป็นได้อย่างไร เอาแต่จ้องมือของเซียวจวิ้นด้วยความเป็นห่วง
หลี่เมิ่งซีจัดการกับเนื้อเน่าบนฝ่ามือของเซียวจวิ้นเสร็จ ค่อยๆ บีบหนองออกมาทีละนิด จากนั้นใช้สุราต้มทำความสะอาดแผลอีกครั้ง นางรับขวดยาจากมือจือซย่า เทผงยาออกมาและโรยลงบนแผล สุดท้ายจึงใช้ผ้าพันแผลเอาไว้
จัดการเรื่องเหล่านี้จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ค่อยวางมือเซียวจวิ้นลงบนเตียง หลี่เมิ่งซีนั่งตัวตรง พรูลมหายใจยาว ก่อนจะสั่งให้หงจูกับหงซิ่งเก็บข้าวของบนพื้น เห็นทั้งสองเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วกำลังจะเงยหน้าขึ้นพูดกับเหล่าไท่จวิน นางก็ได้ยินซื่อฮว่าอุทานอย่างประหลาดใจ “คุณชายรองเหงื่อออกแล้วเจ้าค่ะ!”
หงจูฟังแล้วจึงหันไปมอง เห็นหน้าผากเซียวจวิ้นมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย เหงื่อออกก็ดีแล้ว แสดงว่าไข้ของคุณชายรองเริ่มลดแล้ว ด้วยความตื่นเต้นจึงลืมไปว่าเหล่าไท่จวินอยู่ด้านข้าง นางโพล่งออกมา “จริงๆ ด้วย! ยาของสะใภ้รองวิเศษจริงๆ เจ้าค่ะ!”
“ยาของสะใภ้รอง?” เหล่าไท่จวินฟังคำหงจูพลางถามด้วยความฉงน
ได้ยินเหล่าไท่จวินถาม หงจูถึงนึกขึ้นได้ว่าเหล่าไท่จวินยังนั่งอยู่ด้านข้างด้วย นางตกใจจนตัวสั่น นี่เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ ทั้งที่หมอยังไม่ตรวจ ใครจะกล้าใช้ยาส่งเดชได้เล่า หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมามีกี่หัวก็ไม่พอให้ชดใช้ ปรนนิบัติคุณชายรองมาหลายปี นางรู้กฎธรรมเนียมเหล่านี้ดี เมื่อครู่ก็เตือนสะใภ้รองแล้วว่าอย่าใช้ยาส่งเดช ใจรู้ว่าตนเองก่อเรื่องเสียแล้ว ไหนเลยจะกล้าพูดอะไรอีก หงจูรีบก้มศีรษะถอยไปยืนด้านข้าง ตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่
หลี่เมิ่งซีเห็นเช่นนั้นก็สบตากับเหล่าไท่จวินแล้วพูดเสียงเรียบ “เหล่าไท่จวิน เมื่อครู่เมิ่งซีเห็นว่าคุณชายรองไข้สูงไม่ลด ได้ยินว่าไข้สูงทำร้ายสมองเป็นที่สุด อาจทำให้คนปัญญาอ่อนได้ กว่าหมอจะมาถึงก็ต้องรออีกเป็นชั่วยาม ด้วยเกรงว่าคุณชายรองจะเป็นอะไรไปเสียก่อน คิดว่าไข้สูงของคุณชายรองเกิดจากบาดแผลจึงนำยาที่คุณชายรองมอบให้ก่อนหน้านี้มาใช้ คิดไม่ถึงว่าจะใช้ได้ผลจริงๆ เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วนจึงไม่ทันได้รายงานเหล่าไท่จวินก่อน”
เห็นหลี่เมิ่งซีไม่แทนตัวว่าหลานสะใภ้แล้วเหล่าไท่จวินพลันตระหนก เหลือบมองเซียวจวิ้นบนเตียงแล้วก็ลอบถอนหายใจ กำลังจะพูดกลับได้ยินนายท่านใหญ่เอ่ยว่า “ซีเอ๋อร์รู้จักพลิกแพลงตามสถานการณ์ ดูอาการของจวิ้นเอ๋อร์แล้ว เกรงว่าหากรอจนหมอมาถึงคงจะเกิดเรื่องจริงๆ โชคดีที่ซีเอ๋อร์มีสติเมื่อเกิดเรื่อง ตัดสินใจเฉียบขาดจึงช่วยจวิ้นเอ๋อร์เอาไว้ได้ ตอนนี้อาการของจวิ้นเอ๋อร์ดีขึ้นแล้ว ซีเอ๋อร์อย่าตำหนิตนเองนักเลย”
นายท่านใหญ่ฟังคำพูดหลี่เมิ่งซีแล้วรู้ว่านางทำผิดธรรมเนียม แต่ครั้นเห็นว่าลูกสะใภ้ที่ดีขนาดนี้ เพราะเป็นลูกอนุจึงต้องถูกหย่า ในใจอดบังเกิดความเห็นใจไม่ได้ ทั้งยังรู้สึกว่าสกุลเซียวทำผิดต่อนาง เห็นลูกชายไม่เป็นไรแล้ว ด้วยเกรงว่าเหล่าไท่จวินจะพูดเรื่องกฎธรรมเนียมและลงโทษนาง เขาจึงชิงพูดขึ้นเสียก่อน