บทที่ 2
เหล่าไท่จวินเงยหน้ามองหลานชายที่ยังไม่ได้สติ อ้าปากอยู่หลายหน สุดท้ายก็ข่มความวู่วามไม่ได้เรียกคนเข้ามา นางยังคงเชื่อว่าเวลาจวิ้นเอ๋อร์ป่วยหรือมีเคราะห์ ขอเพียงมีหลี่เมิ่งซีอยู่ข้างกายจวิ้นเอ๋อร์จะต้องเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดีแน่
หรี่ตาทั้งสองข้างมองหลี่เมิ่งซีแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเพียงแค่ต้องการยั่วโทสะตนเท่านั้น สายตาค่อยๆ เยียบเย็นขึ้น หลี่เมิ่งซีไม่กลัวจริงๆ หรือว่าตนโมโหขึ้นมาจะใช้กฎบ้านกับนางก่อนแล้วค่อยหย่านาง? แค่บุตรสาวพ่อค้าตัวเล็กๆ คนหนึ่ง นางมีสิ่งใดให้พึ่งพาหลังจากออกไปจากที่นี่อย่างนั้นหรือ ถึงกับกล้ากำแหงในคฤหาสน์สกุลเซียวเช่นนี้!
เนิ่นนานผ่านไปจึงได้ยินนายท่านใหญ่เอ่ยว่า “ซีเอ๋อร์อย่าพูดเหลวไหล ข้าเซียวเฉินท่องคัมภีร์นักปราชญ์มาแต่เล็ก กระจ่างแจ้งในหลักการต่างๆ ดี แล้วจะหลงลืมกฎธรรมเนียมของบรรพบุรุษและคำสอนของนักปราชญ์ กระทำเรื่องที่ขัดต่อขนบธรรมเนียมเช่นนี้ได้อย่างไร เห็นแก่ที่เจ้าอายุยังน้อยไม่รู้ความ ข้าจะยังไม่เอาความชั่วคราว วันหน้าซีเอ๋อร์อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก!”
คำพูดของนายท่านใหญ่ก้องกังวานทรงพลัง ทั้งยังมีความน่าเกรงขาม ทุกคนในห้องฟังคำพูดนี้ต่างรู้ว่านายท่านใหญ่โกรธแล้ว แต่ละคนเงียบกริบ ซื่อฮว่าส่งสายตาบอกให้สาวใช้รุ่นเล็กทั้งหลายถอยออกไปเงียบๆ
หงจูมองสะใภ้รองที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าประหม่า นางอยากเข้าไปโขกศีรษะให้สะใภ้รองสักสองทีเหลือเกินและขอร้องนางว่า ท่านพูดให้น้อยลงหน่อยเถอะ
แต่หลี่เมิ่งซีกลับไม่กลัวตาย นางรู้ว่าหากพลาดโอกาสในวันนี้ไปแล้วจะหาโอกาสเช่นนี้อีกสักครั้งย่อมยาก ทั้งที่รู้ว่านายท่านใหญ่โมโหแล้ว แต่นางยังคงพูดต่ออย่างไม่ละความพยายาม “เหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่…”
หลี่เมิ่งซีกำลังจะโต้แย้งต่อก็เห็นสาวใช้เข้ามารายงานว่านายหญิงใหญ่กับแม่นางซิ่วมา
หงจูได้ยินแล้วพรูลมหายใจยาว
นายท่านใหญ่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยว่า “ซีเอ๋อร์อย่าพูดอีกเลย หงจู ประคองสะใภ้รองลุกขึ้น!”
หงจูกับจือซย่าก้าวเข้าไปฝืนดึงหลี่เมิ่งซีให้ลุกขึ้น แล้วพาไปนั่งบนเก้าอี้ด้านข้าง
สวรรค์ ท่านไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว! ส่งข้ามาอยู่ในยุคโบราณที่กันดารเช่นนี้ แต่ก่อนไร้เงินไร้อำนาจก็แล้วไปเถอะ ยามนี้มีเงินมีอำนาจแล้ว ไฉนจึงไม่ยอมให้ข้าออกจากคฤหาสน์อีก ภาษิตว่าลมฝนหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเสมอ เหตุใดจึงเวียนมาไม่ถึงตาข้าบ้าง! หลี่เมิ่งซีที่ถูกดึงตัวขึ้นมานั้นยามนี้ในใจเต็มไปด้วยโทสะที่ไร้ชื่อ
เพิ่งจะนั่งลงนายหญิงใหญ่ก็เดินเข้ามาท่ามกลางการห้อมล้อมของกลุ่มคน ใบหน้านางขาวซีด สีหน้าอิดโรย กระทั่งเดินยังดูหอบหายใจ เป่าจูกับจื่อเยวี่ยคอยประคองอย่างระมัดระวัง จางซิ่วตามอยู่ด้านข้าง สองตาแดงเรื่อ คงเพิ่งผ่านการร้องไห้มา
หลี่เมิ่งซีจะลุกขึ้นคารวะโดยสัญชาตญาณ แต่พลันบังเกิดความคิด ในคฤหาสน์สกุลเซียวแห่งนี้มีแต่นายหญิงใหญ่กับจางซิ่วที่สนับสนุนให้นางจากไป มิสู้ใช้โอกาสนี้เติมเชื้อไฟเสียเลย ช่วยพวกนางผลักดันสักหน่อย หากนายหญิงใหญ่วู่วามย่อมยัดเยียดข้อหาไม่นอบน้อมบิดามารดาให้นางและหย่านางซะ
ด้วยคิดเช่นนี้ หลี่เมิ่งซีจึงนั่งนิ่งอย่างสง่างาม ปล่อยให้หงจูกับจือซย่าร้อนใจอยู่ด้านข้าง ตนเองทำตัวมิต่างจากพระพุทธรูป
นายหญิงใหญ่คารวะเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่แล้วก็หันไปเห็นว่าหลี่เมิ่งซียังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ สีหน้านางพลันเยียบเย็น สายตากวาดมองบุตรชายที่นอนอยู่บนเตียง ในใจก็ยิ่งทุกข์ตรม รู้สึกเหมือนตนเองเลี้ยงดูบุตรชายจบเติบใหญ่อย่างลำบากยากเย็น แต่กลับถูกหญิงผู้นี้แย่งชิงไป
หากมิใช่เพราะหลี่เมิ่งซี จวิ้นเอ๋อร์จะไม่ยอมเป็นประมุขสกุลได้อย่างไร มิใช่เพราะนาง จวิ้นเอ๋อร์จะล่วงเกินเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่จนถูกลงโทษและหมดสติไปได้อย่างไร เห็นหลี่เมิ่งซีไร้มารยาทเช่นนี้ก็อยากถลกหนังกินเนื้อนาง เผากระดูกแล้วเอาเถ้าไปโปรยทิ้งเสียเหลือเกิน กำลังจะตำหนิก็ได้ยินเสียงของเหล่าไท่จวินลอยมา “ลูกสะใภ้ไม่แข็งแรงจะมาที่นี่ทำไมเล่า อย่ามัวยืนอยู่เลย หงจู ยกเก้าอี้ให้นายหญิงใหญ่”
เหล่าไท่จวินเห็นหลี่เมิ่งซีเสียมารยาทเช่นกัน นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตอนที่ตนกับนายท่านใหญ่เข้ามาหลี่เมิ่งซีก็ไม่ได้ลุกขึ้นต้อนรับเช่นกัน จากนิสัยปกติของนางแล้วไม่มีทางทำผิดกฎธรรมเนียมเช่นนี้แน่ คงจะมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตั้งใจออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วถึงได้ทำเช่นนี้