หงจูพูดจบ เห็นเซียวจวิ้นไม่พูดอะไรนางจึงพูดต่อ “คุณชายรองหมดสติไปสองวัน ป่านนี้คงหิวแล้ว เมื่อครู่สะใภ้รองสั่งให้หงซิ่งทำโจ๊กเปล่า บ่าวจะสั่งให้คนยกเข้ามานะเจ้าคะ คุณชายรองกินโจ๊กก่อน เมื่อครู่นี้เหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่เพิ่งส่งคนมาสอบถามอาการของท่าน บ่าวจะส่งคนไปรายงานเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
หงจูพูดจบ เห็นเซียวจวิ้นพยักหน้า นางจึงหันหลังเดินออกไป
เพิ่งถึงหน้าประตูก็ถูกเรียกกลับมา ได้ยินเซียวจวิ้นเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวค่อยไปรายงานที่เรือนโซ่วสี่ เจ้าไปเรือนปีกตะวันออกตามสะใภ้รองมาก่อน”
ได้ยินคำสั่งของเซียวจวิ้นแล้วหงจูลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็รับคำเดินออกไป
พอรู้ว่าหลี่เมิ่งซีดูแลเขาอยู่ข้างเตียงตลอดสองวันที่ผ่านมา เซียวจวิ้นก็เผยรอยยิ้มมีความสุข หัวใจพลันเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยน นึกอยากพบนางทันที เห็นหงจูจะไปรายงานเหล่าไท่จวินเขาพลันนึกขึ้นได้ว่าวันที่ฐานะลูกอนุของหลี่เมิ่งซีถูกเปิดเผย หลังจากถูกตามตัวกลับมาจากข้างนอกอย่างเร่งด่วน เขาก็ถูกพาไปเรือนโซ่วสี่ทันที ตั้งแต่ตอนนั้นยังไม่ได้พูดคุยกับหลี่เมิ่งซีเป็นการส่วนตัวเลย
ชาติกำเนิดของหลี่เมิ่งซีขัดต่อคำสอนของบรรพบุรุษ นี่เป็นเรื่องใหญ่เกินไป แม้เขาสาบานว่าจะไม่เป็นประมุขสกุล ท่านย่ากับบิดามารดาก็ไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่ เขาต้องทำความตกลงร่วมกับหลี่เมิ่งซีก่อนที่จะพบกับเหล่าไท่จวินเสียก่อน ยามนี้เขานึกเสียใจภายหลังยิ่งนัก ก่อนหน้านี้เขาน่าจะคุยกับหลี่เมิ่งซี การจะต่อต้านคำสอนของบรรพบุรุษสกุลเซียวกำลังเขาเพียงคนเดียวนั้นน้อยเกินไป พวกเขาต้องร่วมแรงร่วมใจกันถึงจะสำเร็จ ขอเพียงนางยืนอยู่ข้างหลังเขา มองเขาด้วยสายตาเชื่อมั่น เขาก็จะมีพลังอย่างเต็มเปี่ยม สามารถยืนหยัดเพื่อความสุขของนางกับเขาได้จนถึงที่สุด ไม่ละความพยายามเด็ดขาด ยิ่งไม่ปล่อยให้นางถูกรังแกในสกุลเซียว!
เฝ้ามองประตูอย่างคาดหวัง ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก เซียวจวิ้นตาเป็นประกายก่อนจะดับวูบลง ที่แท้เป็นหงซิ่งถือถาดเงินเดินเข้ามา
เห็นเซียวจวิ้นมองมา หงซิ่งก็วางถาดเงินลงบนโต๊ะพลางพูด “นี่เป็นโจ๊กเปล่าที่สะใภ้รองกำชับให้บ่าวทำเป็นพิเศษ คุณชายรองรีบกินตอนร้อนๆ เถอะเจ้าค่ะ”
เห็นหงซิ่งยกโจ๊กเข้ามา เซียวจวิ้นก็รู้สึกหิวขึ้นมาจริงๆ แต่ด้วยคิดว่าหลี่เมิ่งซีกำลังจะมา เขาจึงพูดกับหงซิ่งว่า “วางไว้ก่อนเถอะ รินน้ำให้ข้าถ้วยหนึ่ง”
หงซิ่งรับคำ รีบหยิบกาน้ำชาขึ้นมารินน้ำ นางเดินเข้ามาประคองเซียวจวิ้นลุกขึ้นนั่งพลางใช้หมอนหนุนไว้ข้างหลังและปรนนิบัติเขาดื่มน้ำ
ระหว่างยุ่งง่วนก็เห็นหงจูผลักประตูเข้ามาอย่างหมดอาลัยตายอยาก เซียวจวิ้นเห็นเข้าจึงพูดกับหงซิ่ง “เจ้าออกไปเถอะ มีหงจูอยู่ก็พอแล้ว”
หงซิ่งรับคำและหมุนตัวเดินออกไป
เห็นหงซิ่งออกไปแล้ว เซียวจวิ้นจึงเอ่ยถาม “สะใภ้รองทำอะไรอยู่ นางว่าอย่างไรบ้าง”
มองคุณชายรองแล้ว หงจูสีหน้าหม่นหมอง ขยับปากครู่หนึ่งหันไปเหลือบเห็นโจ๊กบนโต๊ะจึงพูดกับเขา “บ่าวปรนนิบัติคุณชายรองกินโจ๊กก่อนดีกว่า ประเดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อยนะเจ้าคะ”
“สะใภ้รองว่าอย่างไร!” เห็นหงจูเป็นเช่นนี้ ร่างกายของเซียวจวิ้นก็สะท้านเฮือก เขาเสียงแข็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หงจูหน้าซีดเมื่อเห็นคุณชายรองร้อนใจ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าตอบ “สะใภ้รองบอกว่า…บอกว่านางกับคุณชายรองตัดขาดกันแล้ว แค่รอให้คุณชายรองฟื้นขึ้นมาเขียนหนังสือหย่าให้นาง แล้วนางก็จะไปจากคฤหาสน์สกุลเซียว ไม่สะดวกจะพบคุณชายรองตามลำพังอีก สั่งให้บ่าวปรนนิบัติท่านให้ดีเจ้าค่ะ”
ฟังคำพูดไร้เยื่อใยเช่นนี้แล้ว เซียวจวิ้นร่างกายสั่นสะท้าน เขาถามว่า “เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ถือโอกาสตอนที่ข้าไม่ได้สติบีบคั้นสะใภ้รองหรือ”
“เรียนคุณชายรอง เหล่าไท่จวินแค่สั่งให้สะใภ้รองเคร่งครัดในกฎธรรมเนียม ปรนนิบัติท่านให้ดี ทุกอย่างรอให้ท่านฟื้นแล้วค่อยว่ากัน บ่าวเดาว่าสะใภ้รองคงกลัวว่าท่านจะฝ่าฝืนคำสอนของบรรพบุรุษเพื่อนางอีก ทำให้เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่โมโหจนต้องขึ้นชื่อว่าอกตัญญู มิสู้ไม่พบจะดีกว่า ตัดความคิดเพ้อฝันของท่านเสียแต่ตอนนี้ บ่าวขอร้องคุณชายรองโปรดปล่อยวางเถอะเจ้าค่ะ คำสอนของบรรพบุรุษยากจะฝ่าฝืน สะใภ้รองทำเช่นนี้ก็ด้วยหวังดีต่อท่าน ถึงอย่างไรเจ็บยาวย่อมมิสู้เจ็บสั้น”
ฟังคำพูดหงจูแล้ว เซียวจวิ้นเอนกายลงบนเตียงและหลับตาลง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 พ.ค. 62