“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
จือซย่า จือตงรับคำเดินออกไป ถึงหน้าประตู จือซย่าพลันนึกขึ้นได้ว่าสะใภ้รองยังไม่ได้กินอาหารเช้า นางจึงหันกลับมาถาม “อาหารเช้าของสะใภ้รอง?”
“ไปจัดการเรื่องพวกนี้ก่อนเถอะ เอาอาหารพวกนั้นไปเททิ้งด้วย อดมื้อสองมื้อไม่ทำให้หิวตายหรอก แต่หากถูกขังอยู่ที่นี่จริงต้องไม่รอดแน่ อ้อ ใช่แล้ว พวกเจ้าสองคนจำไว้ว่าไปเรือนอื่นแล้วห้ามแตะต้องอาหารและน้ำเป็นอันขาด ต่อไปนี้อาหารและน้ำที่กินต้องผ่านการตรวจสอบจากข้าก่อน เข้าใจหรือไม่”
“สะใภ้รอง…”
“จำไว้ว่าพวกเราถูกขังอยู่ที่นี่ ไม่มีใครช่วยพวกเราได้ หากตายก็คือตายเปล่า”
จือซย่า จือตงขอบตาแดงเรื่อ รีบรับคำและหมุนตัวก้าวออกไปโดยเร็ว
เซียวอวิ้นเดินออกมาจากห้องของพี่รอง พอออกจากประตูชั้นในก็เห็นหงจูถูมืออยู่ เดินกลับไปกลับมาเหมือนแมลงวันหัวขาด มองปราดเดียวก็รู้ว่ากำลังมีปัญหา
เซียวอวิ้นเห็นแล้วโบกพัด ก้าวเท้าเดินเข้าไปช้าๆ ขวางตรงหน้าหงจู
หงจูที่กำลังก้มหน้าคิดอะไรอยู่เกือบชนถูกเขา นางตกใจสะดุ้ง ครั้นเห็นว่าเป็นคุณชายสามจึงรีบเข้าไปย่อกาย “คารวะคุณชายสาม บ่าวตกใจแทบแย่เจ้าค่ะ”
“คิดอะไรถึงได้เหม่อลอยเช่นนี้”
ได้ยินคุณชายสามถามถึง หงจูตาเป็นประกายทันที นางคุกเข่าลงอ้อนวอน “บ่าวขอให้คุณชายสามช่วยสะใภ้รองด้วยเจ้าค่ะ!”
เซียวอวิ้นได้ยินว่าพี่สะใภ้รองเกิดเรื่อง ดวงตาก็เบิกโตทันที เขาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น เจ้าลุกขึ้นก่อน ค่อยๆ พูดเถอะ คุกเข่าอยู่หน้าประตูเช่นนี้ พวกข้ารับใช้เห็นเข้าจะคิดว่าเกิดอะไรขึ้น”
หงจูฟังแล้วรีบขอบคุณ ลุกขึ้นปัดฝุ่นตามตัว ก่อนจะยืนเล่าว่า “เมื่อวานสะใภ้รองถูกเหล่าไท่จวินส่งไปอารามชิงซิน เช้าวันนี้คุณชายรองตื่นมาก็สั่งให้บ่าวไปอารามชิงซินดูว่าสะใภ้รองอยู่ที่นั่นคุ้นเคยแล้วหรือยัง ถูกรังแกหรือไม่ ขาดเหลืออะไรบ้าง แล้วให้บ่าวส่งไปให้ คิดไม่ถึงว่าบ่าวไปถึงที่นั่นแล้ว คนเฝ้าประตูจะถูกนายหญิงใหญ่เปลี่ยนทั้งหมด พอได้ยินว่าบ่าวจะไปหาสะใภ้รอง พูดอย่างไรก็ไม่ให้เข้าไป บอกว่าเป็นคำสั่งของนายหญิงใหญ่ ต้องการให้สะใภ้รองอยู่ในอารามเงียบๆ ห้ามคนนอกรบกวน”
“ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก อารามชิงซินเป็นสถานที่ไหว้พระของบ้านเราอยู่แล้ว ของกินของใช้ที่นั่นระดับยังสูงกว่าของอี๋เหนียงเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่อาหารสามมื้ออาจจะจืดชืดไปสักหน่อย พี่สะใภ้รองนิสัยเรียบง่ายคิดว่าคงปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เมื่อวานข้ากลับมาได้ยินเรื่องของพี่สะใภ้รองแล้ว ทั้งยังไปขอร้องเหล่าไท่จวินแล้วด้วย เหล่าไท่จวินบอกว่าแค่ให้พี่สะใภ้รองไปพักผ่อนเงียบๆ ที่นั่นไม่กี่วัน สั่งข้ารับใช้แล้วว่าไม่ให้ละเลย หงจูอย่าตื่นตกใจไปเลย”
“คุณชายสามพูดมีเหตุผล เดิมทีบ่าวก็คิดเช่นนี้ แต่คำสั่งของเจ้านายมิกล้าขัดขืน บ่าวจึงอยากไปดูด้วยตนเอง คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะมิใช่เช่นนั้นเลย เห็นท่าทีแข็งกร้าวของบ่าวหญิงพวกนั้นแล้ว บ่าวเดาว่าสะใภ้รองอยู่ข้างในต้องไม่สบายแน่ เกรงว่าจะส่งข่าวออกมาไม่ได้ บ่าวขอบังอาจพูดนอกเรื่องต่อหน้าคุณชายสาม สองปีมานี้คนที่มีตาล้วนเห็นว่านายหญิงใหญ่เกลียดชังสะใภ้รองเพราะคุณหนูซิ่ว สะใภ้รองเองก็มิใช่คนที่ยอมจำนน โชคดีที่มีเหล่าไท่จวินคอยปกป้อง บัดนี้เนื่องจากฐานะลูกอนุทำให้สูญเสียความโปรดปรานจากเหล่าไท่จวินไป แล้วนายหญิงใหญ่จะยอมละเว้นสะใภ้รองง่ายๆ ได้อย่างไรเจ้าคะ เหล่าไท่จวินมีคำสั่งแล้วก็จริง แต่ผู้ดูแลจัดการเรื่องในเรือนคือนายหญิงใหญ่ หากลอบกลั่นแกล้งอย่างลับๆ ใครจะกล้าปากมากพูดออกไป บ่าวขอร้องคุณชายสามหาหนทางพาบ่าวไปเยี่ยมสะใภ้รองหน่อยเถอะเจ้าค่ะ หากนางอยู่ในนั้นเป็นอะไรไปจริงๆ ไม่พูดถึงว่าเคยเป็นนายบ่าวกันมา บ่าวจึงรู้สึกสงสารเลย แค่ทางคุณชายรองบ่าวก็ไม่อาจชี้แจงได้แล้วเจ้าค่ะ”
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก เรื่องนี้ให้พี่รองบอกเหล่าไท่จวินตรงๆ ก็ได้ อารามชิงซินมีแต่สตรี ข้าไปเยี่ยมพี่สะใภ้รองถึงอย่างไรก็ไม่เหมาะสม เรื่องนี้หากแพร่ออกไปจะกระทบต่อชื่อเสียงของพี่สะใภ้รองได้”
“คุณชายสามพูดมีเหตุผล ใช่ว่าบ่าวไม่รู้กฎธรรมเนียม แต่หากไม่จำเป็นจริงๆ บ่าวคงไม่ใช้วิธีการที่แย่ที่สุดเช่นนี้ ตั้งแต่คุณชายรองฟื้นขึ้นมาเมื่อวานและถูกบังคับให้หย่าสะใภ้รอง จนบัดนี้ยังไม่ยอมดื่มน้ำหรือกินข้าวเลย วันนี้แม้แต่ยาก็ไม่กินด้วย เช้าวันนี้อาการแย่กว่าเมื่อวานเสียอีก แม้แต่นั่งยังนั่งไม่ได้ ได้แต่นอนอยู่บนเตียง จ้องเพดานอย่างเหม่อลอย คุณชายรองเป็นห่วงสะใภ้รองยิ่งนัก หากบอกเรื่องนี้กับคุณชายรอง เกรงว่าอาการจะทรุดลงกว่าเดิม”
เซียวอวิ้นฟังคำพูดหงจูแล้ว คิดถึงดวงตาไร้ประกายและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของพี่รอง ยังหลงเหลือความมีชีวิตชีวาอยู่ที่ไหนเล่า ดูเหมือนคนที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็คิดถึงตอนที่นายหญิงใหญ่กลั่นแกล้งพวกเขาแม่ลูก ด้วยนิสัยใจคอของนายหญิงใหญ่ นางสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้จริงๆ เขาจึงเชื่อคำพูดของหงจู ก้มหน้าขบคิดแล้วเอ่ยว่า “ไป ข้าจะพาเจ้าไปอารามชิงซิน!”
โปรดติดตามตอนต่อไป…