แต่มีเซียวอวิ้นอยู่ที่นี่นางก็ไม่ร้อนใจแล้ว หลี่เมิ่งซีนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ยกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่งก่อนพูด “ไฉนจึงไม่มีระเบียบมากขึ้นทุกวัน สั่งสอนพวกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าเจอเรื่องอะไรต้องสุขุม ยังจะเอะอะโวยวายเช่นนี้อีก ทำให้คุณชายสามหัวเราะเยาะแล้ว ยังไม่รีบขอขมาคุณชายสามอีก!” หลี่เมิ่งซีพูดจบก็ส่งสายตาให้จือซย่า
สะใภ้รองไม่เคยตำหนิพวกนางเช่นนี้มาก่อน เดิมทีจือซย่าเต็มไปด้วยความคับแค้นใจอยู่แล้ว พอได้ยินน้ำเสียงเฉียบขาดของสะใภ้รองก็ตาแดงทันใด นางมองสะใภ้รองอย่างน้อยใจ เห็นสะใภ้รองส่งสายตามาให้จึงเข้าใจทันทีว่าสะใภ้รองต้องการให้นางขอร้องคุณชายสาม น้ำตาจึงพรั่งพรูออกมา ก้าวไปข้างหน้าพร้อมจือตง ย่อกายให้เซียวอวิ้นแล้วพูด “คารวะคุณชายสาม เมื่อครู่บ่าวเสียมารยาทแล้ว ขอคุณชายสามโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”
เซียวอวิ้นพูดคุยอยู่ที่นี่ตั้งนาน เห็นหลี่เมิ่งซีมีท่าทีสุขุมเยือกเย็นอยู่ตลอด มองดูของใช้ในห้องแล้วก็มั่นใจว่าหลี่เมิ่งซีอยู่ที่นี่ไม่ได้รับความลำบากใดๆ ดังนั้นจึงไม่ได้ถามนางว่าอยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้เห็นสองสาวใช้ทะเล่อทะล่าเข้ามา ได้ยินคำพูดของพวกนางแล้วก็ตกตะลึง นึกถึงจุดประสงค์การมาของตนเองได้ในทันที ครั้นเห็นหลี่เมิ่งซีตำหนิสองสาวใช้จนร้องไห้ เขาทนเห็นสตรีร้องไห้ไม่ได้มากที่สุดจึงรีบพูด “ช่างเถอะ ที่พวกเจ้าพูดเมื่อครู่นี้หมายความว่าอะไร”
จือซย่าเหลือบมองหลี่เมิ่งซีแวบหนึ่ง เห็นนางพยักหน้าจึงก้าวขึ้นไปคุกเข่าให้เซียวอวิ้น จือตงเห็นแล้วก็คุกเข่าตาม จือซย่าโขกศีรษะสามทีและเอ่ยปากขอร้อง “บ่าวขอร้องคุณชายสาม โปรดหาหนทางช่วยสะใภ้รองด้วยเถอะเจ้าค่ะ!”
เซียวอวิ้นตกใจจนลุกพรวดขึ้น จากนั้นจึงนั่งลงแล้วเอ่ยถาม “มีเรื่องอะไรลุกขึ้นแล้วค่อยพูด”
สองสาวใช้ไหนเลยจะยอมลุกขึ้น พวกนางยังคงคุกเข่า จือซย่าพูดว่า “เรียนคุณชายสาม เมื่อวานเหล่าไท่จวินเร่งรัดมาก ของใช้หลายอย่างของสะใภ้รองจึงไม่ได้นำมาด้วย เมื่อครู่บ่าวเตรียมตัวไปเรือนเซียวเซียงเอาของใช้มา คิดไม่ถึงว่าบ่าวหญิงที่ประตูกลับขวางไว้ไม่ให้ออกไป บ่าวคิดว่าแค่ไม่ให้บ่าวกับสะใภ้รองออกจากที่นี่เท่านั้น ถึงอย่างไรก็แค่ไปเอาของ หาใช่เรื่องใหญ่อะไร บ่าวจึงขอร้องคนอื่นในเรือนให้ช่วยไปเอามาให้ คิดไม่ถึงว่าขอร้องคนหลายคนแล้ว พวกนางล้วนกลับมาบอกว่าคนเฝ้าประตูไม่ให้ออกไป ทุกคนบอกให้บ่าวไปหาหลิวหมัวมัวผู้ดูแลโถงสวดมนต์ บอกว่านางฐานะสูงหน่อย ทั้งยังเป็นคนมีน้ำใจ จะต้องช่วยเหลือให้ออกไปได้แน่ บ่าวจึงไปขอร้อง คิดไม่ถึงว่ากลับมาแล้วนางจะส่ายหน้าเล่าให้ฟังว่าบ่าวหญิงที่เฝ้าประตูบอกว่ามิใช่ไม่ให้หน้านาง แต่นายหญิงใหญ่สั่งให้พวกนางเฝ้าประตูอารามชิงซินให้ดี แม้แต่แมลงวันตัวเดียวก็ห้ามบินออกไป หาไม่แล้วจะเอาชีวิตพวกนาง หลิวหมัวมัวยังบอกว่า…”
จือซย่าพูดถึงตรงนี้ก็หยุด เหลือบมองหลี่เมิ่งซี ลังเลว่าจะพูดต่อดีหรือไม่ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเซียวอวิ้นถาม “ยังบอกว่าอะไร”
หลี่เมิ่งซีฟังคำพูดจือซย่าแล้ว หน้าผากมีเหงื่อเย็นซึมออกมา ลอบคิดว่าถึงอย่างไรตนก็ยังเด็ก ประมาทเกินไปแล้ว ประเมินความร้ายกาจของนายหญิงใหญ่ต่ำเกินไป หากไม่เพราะเซียวอวิ้นมาที่นี่ เกรงว่าครั้งนี้นางคงต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ เห็นจือซย่ายังคงลังเล นางจึงถามเร่งไปว่า “นางยังบอกว่าอะไรอีก”
“หลิวหมัวมัวยังบอกว่าตอนนางไปถึงที่ประตูใหญ่ บังเอิญเจอกับหวังอี๋เหนียงที่มาเยี่ยมสะใภ้รอง แต่ถูกขวางอยู่นอกประตู ครั้นเห็นหลิวหมัวมัวบอกว่ามาเอาของแทนสะใภ้รอง หวังอี๋เหนียงจึงขอร้องหลิวหมัวมัวให้นำของที่นางเอามาเข้าไป พอหวังอี๋เหนียงยื่นของมาให้ หลิวหมัวมัวยังไม่ทันได้ยื่นมือไปรับก็ถูกบ่าวหญิงที่เฝ้าประตูโยนของทิ้งไปไกลแล้ว ทั้งยังตวาดหวังอี๋เหนียงอย่างดุดันว่าล้มเลิกความคิดเสียเถอะ นายหญิงใหญ่สั่งไว้ว่าแม้แต่กระดาษชิ้นเดียวก็ห้ามเล็ดลอดออกจากประตูบานนี้ไป!”