ระหว่างที่นายหญิงใหญ่ครุ่นคิด สาวใช้ก็เข้ามารายงานว่าหมอรออยู่นอกห้องแล้ว เหล่าไท่จวินสั่งให้หลี่เมิ่งซีและคนอื่นๆ หลบไปอยู่ในโถงข้าง เหลือไว้เพียงหมัวมัว สองคน ก่อนจะให้หมอเข้ามา
หมอตรวจชีพจรอย่างละเอียด สำรวจดูสีหน้าของเซียวจวิ้นก่อนถามว่า “วันนี้คุณชายรองดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก ไม่ทราบร่างกายรู้สึกอย่างไรบ้าง”
“วันนี้ตื่นมาก็รู้สึกสดชื่นกว่าทุกวัน ร่างกายเบาขึ้นไม่น้อย เพียงแต่มือเท้ายังรู้สึกชาอยู่บ้าง ไม่มีเรี่ยวแรง” เซียวจวิ้นตอบ
“เหล่าไท่จวินเปี่ยมด้วยบุญบารมี วันนี้ชีพจรของคุณชายรองหนักแน่นมีพลัง ชีพจรไม่ดูอ่อนไร้กำลังเหมือนก่อนหน้านี้ คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมากแล้ว เพียงแต่คุณชายรองนอนอยู่บนเตียงมานาน ร่างกายยังคงอ่อนแออยู่บ้าง ยังต้องจ่ายยาบำรุงธาตุหยาง ดูแลอย่างระวังอีกสักระยะหนึ่ง” หมอประสานมือพูดกับเหล่าไท่จวิน แต่ในใจยังคงสงสัยอยู่มาก เขาจึงถามต่อ “คุณชายรองได้กินอะไรเข้าไปหรือไม่”
“ก่อนหน้านี้ดื่มยาต้มที่หมอจ่ายให้มาตลอด เช้าวันนี้กินโจ๊กเปล่าไปสองชามเท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่ได้กินอะไรอีก” เซียวจวิ้นตอบ
หมองุนงงสงสัยกว่าเดิม เมื่อวานตอนเช้าเขามาดูอาการ เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่ไหวแล้ว ไยวันนี้จึงดีขึ้นได้ หรือว่าจะเป็นโรคจากสิ่งอัปมงคลจริงๆ เสริมมงคลแล้วจึงหายดี คิดพลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง ห้องนี้มีสิ่งอัปมงคลจริงๆ หรือ คิดเช่นนี้แล้วพลันรู้สึกว่าอากาศรอบด้านหนาวเยือก กระทั่งเขาอยากรีบออกจากห้องนี้เหลือเกิน แต่ให้อย่างไรก็ไม่กล้าพูดออกมา เพียงส่ายหน้าแล้วส่ายหน้าอีก เอ่ยวาจาแสดงความยินดีกับเหล่าไท่จวินและเซียวจวิ้น กำชับรายละเอียดอีกเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบร้อนขอตัวจากไป
แน่นอนว่าเหล่าไท่จวินเข้าใจความสงสัยของหมอ เพียงแต่นางเองก็สงสัยเช่นกันว่าจวิ้นเอ๋อร์ป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ จู่ๆ ก็ล้มป่วยอย่างแปลกประหลาด แล้วก็หายดีอย่างแปลกประหลาดเช่นกัน เมื่อคิดไม่ออกจึงยกให้เป็นความดีความชอบของการแต่งงานเสริมมงคล ในใจยิ่งมั่นใจว่าหลี่เมิ่งซีเป็นผู้อุปถัมภ์ของเซียวจวิ้น เป็นคนมีบุญผู้หนึ่ง
เวลานี้เอง นายหญิงใหญ่ก็เดินนำสาวใช้ บ่าวหญิงสูงวัย และอี๋เหนียงออกมาจากโถงข้าง พูดคุยกับเหล่าไท่จวินเรื่องอาการป่วยของเซียวจวิ้น
เหล่าไท่จวินเห็นเซียวจวิ้นเริ่มเหนื่อยแล้วจึงสั่งนายหญิงใหญ่ “จวิ้นเอ๋อร์คงเหนื่อยแล้ว ให้เขาพักผ่อนเถอะ! เจ้าส่งคนไปเรียนนายท่านใหญ่สักหน่อยว่าจวิ้นเอ๋อร์ดีขึ้นมากแล้ว บอกเขาว่าไม่ต้องเป็นกังวลและไม่ต้องตั้งใจมาเยี่ยม ให้จวิ้นเอ๋อร์พักผ่อนให้มากๆ”
“ลูกจะส่งคนไปเรียนนายท่านใหญ่เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” นายหญิงใหญ่ก้าวขึ้นไปรับคำ ส่งสายตาให้สาวใช้รุ่นใหญ่คนหนึ่ง สาวใช้คนนั้นก็รีบนำความไปเรียนนายท่านใหญ่ทันที
“ซีเอ๋อร์อยู่ปรนนิบัติจวิ้นเอ๋อร์ที่นี่ให้ดี กลางวันค่อยไปเรือนหลักยกน้ำชา จวิ้นเอ๋อร์ร่างกายไม่แข็งแรง วันนี้วันที่เก้า กำหนดเจ็ดวันให้หลังวันที่สิบห้าค่อยไปกราบไหว้ศาลบรรพชนแล้วกัน ส่วนยกน้ำชาจวิ้นเอ๋อร์ไม่ต้องไป ช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ไม่ต้องยึดถือธรรมเนียมพิธีมากมายถึงเพียงนั้น”
“หลานทราบแล้วเจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งซีย่อกาย
เหล่าไท่จวินกำชับพวกหงจู หงอวี้ให้ปรนนิบัติคุณชายรองให้ดี ก่อนจะพาทุกคนจากไป
พอเหล่าไท่จวินกับคนอื่นๆ จากไป หลี่เมิ่งซีกับหงจู หงอวี้ก็คอยปรนนิบัติเซียวจวิ้นดื่มน้ำและพักผ่อน จากนั้นค่อยตั้งโต๊ะกินอาหารในห้องโถง หลี่เมิ่งซีให้หงอวี้ หงจูไปกินอาหาร
หลี่เมิ่งซีพลันนึกขึ้นได้ว่ายังต้องต้มน้ำไห่ถังให้เซียวจวิ้นดื่มต่อไป นางจึงร้องเรียก “ใครก็ได้”
“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ” สาวใช้รุ่นเล็กท่าทางคล่องแคล่วคนหนึ่งเข้ามา
“เจ้าชื่ออะไร”
“บ่าวชื่อหงซิ่งเจ้าค่ะ”
“เรือนของคุณชายรองมีห้องครัวหรือไม่”
“เรียนสะใภ้รอง มีห้องครัวเล็กอยู่ห้องหนึ่งเจ้าค่ะ แต่ไม่เคยใช้ทำอาหารเลย ช่วงนี้ใช้ต้มยาให้คุณชายรองเท่านั้น ปกติล้วนเป็นห้องครัวใหญ่ส่งอาหารมาให้ สะใภ้รองอยากกินอะไรหรือเจ้าคะ บ่าวจะไปสั่งให้เจ้าค่ะ”
“ข้าอยากตุ๋นโจ๊กให้คุณชายรองด้วยตนเอง เจ้าพาข้าไปทีเถอะ”
“ไม่ได้นะเจ้าคะสะใภ้รอง! ท่านเป็นเจ้านาย มีอะไรแค่สั่งให้พวกบ่าวไปทำก็พอเจ้าค่ะ”
“อะไรคือไม่ได้ ทำตามที่ข้าสั่ง ได้ยินหรือไม่…”
คำลงท้ายว่า ‘หรือไม่’ หลี่เมิ่งซีลากเสียงเสียยาวจนทำให้หงซิ่งตกใจจนเหงื่อเย็นออกเต็มตัว ไม่กล้าดูถูกนางในใจอีก เห็นหลี่เมิ่งซียืนกราน เพราะไม่รู้ว่าสะใภ้รองที่มาใหม่คนนี้นิสัยเป็นเช่นไร แม้จะรู้สึกว่าไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมเท่าใดนัก แต่คิดดูแล้วคงมิใช่เรื่องใหญ่อะไรกระมัง นางจึงรับคำ ก่อนจะปรนนิบัติหลี่เมิ่งซีสวมชุดธรรมดาและประคองนางเดินไปห้องครัว
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 14 มีนาคม)