หลี่เมิ่งซีฟังวาจาคาดคั้นของนายหญิงใหญ่แล้วจึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตากระจ่างกลอกไปมานิดๆ มองเพียงเหล่าไท่จวิน ริมฝีปากแดงเผยอออก “เดิมทีหลานก็ไม่เชื่อหรอกเจ้าค่ะ คำพูดเหลวไหลของหมอดูเดิมทีมิอาจยึดถือเป็นจริงจังได้อยู่แล้ว โลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้ได้อย่างไร อีกทั้งเรื่องนี้ยังกระทบต่อชื่อเสียงของหลาน ดังนั้นที่ผ่านมาหลานจึงไม่กล้าพูด ตั้งแต่หลานแต่งเข้าสกุลเซียวก็หวังอยู่เสมอว่าคุณชายรองจะหายดี อีกทั้งคุณชายรองก็เป็นสามีของหลาน หลานเคารพนับถือยังแทบไม่ทัน ไหนเลยจะกล้าปองร้าย เมื่อวานหลานไม่ได้ต้องการให้คุณชายรองไปเรือนของหลี่อี๋เหนียง แต่เป็นคุณชายรองเองที่ดึงดัน หลานไม่กล้าห้าม ขอเหล่าไท่จวินโปรดวินิจฉัยด้วยเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับเหมือนแฝงความอึดอัดคับข้องใจไว้มากมาย คล้ายมีแรงต้านอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็น นางจึงโต้กลับนายหญิงใหญ่ได้อย่างอ่อนโยน
“ท่านย่า บิดา มารดา บางทีน้องสะใภ้อาจเป็นบุคคลที่อุปถัมภ์น้องรองได้จริงๆ ก็เป็นได้ ในเมื่อตอนนี้ไม่มีหนทางอื่นก็ลองดูก่อนเถอะขอรับ” คุณชายใหญ่เซียวชิงเหลือบมองน้องสะใภ้ด้วยความสงสาร แล้วเสนอกับเหล่าไท่จวิน
คุณชายสามกลับมองพี่สะใภ้รองด้วยสีหน้าซับซ้อน โดยไม่เอ่ยอะไร
นายท่านใหญ่ขึงตาใส่นายหญิงใหญ่ทีหนึ่ง มองลูกสะใภ้คนนี้และคิดในใจ ลูกสะใภ้คนนี้ดีทุกอย่าง แต่ไฉนจึงมัดใจจวิ้นเอ๋อร์ไม่ได้นะ คืนวันที่สองของการแต่งงานก็ปล่อยให้จวิ้นเอ๋อร์ไปค้างคืนกับอนุเสียแล้ว ไม่พูดถึงความไม่เหมาะสม เอาแค่เรื่องหน้าตาก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรแล้ว! ในใจเขารู้สึกโมโหลูกชายอยู่แล้ว แต่ลูกชายตนเองถึงอย่างไรย่อมดีที่สุด อีกทั้งตอนนี้ลูกชายก็ป่วยอยู่ เป็นตายยังไม่รู้ ทำให้เขาโทษลูกสะใภ้คนนี้ว่าไร้ความสามารถ สุดท้ายยังต้องให้เขาที่เป็นพ่อช่วยออกหน้า มัดตัวลูกชายไว้ที่เรือนของนาง ช่างน่าขายหน้าจริงๆ!
คิดเช่นนี้แล้ว จึงพูดกับนายหญิงใหญ่ “สั่งจวิ้นเอ๋อร์ว่าภายในเวลาครึ่งเดือนห้ามออกจากเรือนกลาง บอกอี๋เหนียงสี่คนนั้นด้วยว่าในเวลาครึ่งเดือนนี้ ใครกล้ายุยงคุณชายรองให้ออกจากเรือนกลางอีก จะถูกขับออกจากคฤหาสน์สกุลเซียว!”
“เจ้าค่ะ ข้าภรรยาจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” นายหญิงใหญ่เห็นนายท่านใหญ่ไม่พอใจก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เพียงรับคำอย่างนอบน้อม
“ทุกคนกลับไปเถอะ อย่ามัวมาอยู่ตรงนี้เลย รบกวนจวิ้นเอ๋อร์พักผ่อน สองวันนี้ซีเอ๋อร์ไม่ต้องไปคารวะที่เรือนหลักแล้ว ปรนนิบัติจวิ้นเอ๋อร์อยู่ในเรือนให้ดีก็พอ”
เหล่าไท่จวินกลับคิดไปไกลยิ่งกว่า นางเห็นหลี่เมิ่งซีหน้าแดง ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังกลั้นหัวเราะ นางย่อมคิดเชื่อมโยงไปถึงการร่วมหอ คืนวันเข้าหอตามหลักแล้วด้วยสภาพร่างกายของจวิ้นเอ๋อร์ ไม่อาจทำเรื่องลมฝนเช่นนั้นได้ ทว่าทั้งสองกลับปฏิบัติตามธรรมเนียมโจวกง แล้วจริงๆ อีกทั้งโรคของจวิ้นเอ๋อร์ยังหายดีอย่างน่าประหลาด บางทีซีเอ๋อร์อาจฟังคำพูดของมารดากับหมอดูมา เป็นฝ่ายลงมือตอนที่จวิ้นเอ๋อร์สลบไสลกระมัง มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะช่วยชีวิตจวิ้นเอ๋อร์ได้ คิดเช่นนี้แล้วย่อมเข้าใจได้ว่าเหตุใดจวิ้นเอ๋อร์จึงไปเรือนอนุในคืนวันที่สองของการแต่งงาน โลกนี้นอกจากสตรีในหอโคมเขียวแล้ว สตรีที่ไหนยังจะกล้าเป็นฝ่ายลงมือในเรื่องนี้อีกเล่า บุรุษที่ไหนล้วนยอมรับสตรีเช่นนี้ไม่ได้ทั้งนั้น
ลำบากหลานสะใภ้ผู้นี้แล้วจริงๆ ครั้นคิดว่าเมื่อเช้าหลี่เมิ่งซียังช่วยจวิ้นเอ๋อร์ปกปิด คิดเผื่อหลานชายคนนี้ของตนอยู่เสมอ ในใจก็ยิ่งรักใคร่สงสารหลี่เมิ่งซีมากขึ้นอีกหลายส่วน
เหล่าไท่จวินเห็นหลี่เมิ่งซีใบหน้าแดงปลั่ง ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่านางเขินอายยากจะรับไหวจึงทึกทักไปเองว่าทั้งสองต้องร่วมหอกันเท่านั้นถึงจะช่วยชีวิตหลานชายของตนได้ ดังที่กล่าวกันว่าเมื่อป่วยหนักย่อมเสาะแสวงหาทางรักษาไปทั่ว ถึงอย่างไรหมอก็ไม่แม้แต่จะจ่ายยาให้ด้วยซ้ำ ย่อมมิอาจปล่อยให้จวิ้นเอ๋อร์เสียเวลาไปเรื่อยๆ เช่นนี้ มิสู้ลองทำตามวิธีของซีเอ๋อร์ ถือเป็นการลองดูครั้งสุดท้ายแล้วกัน
เรื่องดำเนินมาถึงบัดนี้จวิ้นเอ๋อร์เป็นตายยังไม่รู้ เรื่องนี้เชื่อว่ามีหนทางย่อมดีกว่าเชื่อว่าไม่มีหนทาง ด้วยเหตุนี้นางจึงไล่ทุกคนออกไป เปิดพื้นที่ให้สองสามีภรรยา
หากหลี่เมิ่งซีล่วงรู้ความคิดของเหล่าไท่จวิน นางจะต้องเอาศีรษะโขกกำแพงเป็นแน่ และคงคิดว่า
บรรพบุรุษข้า! หน้าของหลานสะใภ้ยังไม่หนาถึงเพียงนั้นนะเจ้าคะ!