นายหญิงใหญ่ได้ยินแม่สามีชมลูกชายตนเองเช่นนี้ มุมปากก็ผลิยิ้ม เหล่าไท่จวินเห็นอาหารถูกยกเข้ามาแล้ว จึงส่งสัญญาณให้สาวใช้จัดโต๊ะ
นายหญิงใหญ่ยืนอยู่ด้านหลังเหล่าไท่จวินคอยคีบกับข้าวให้ เหล่าไท่จวินเห็นหลี่เมิ่งซีกับสะใภ้ใหญ่อยู่ด้วย นางจึงบอกนายหญิงใหญ่ว่า “ลูกสะใภ้นั่งลงเถอะ มีหลานสะใภ้สองคนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”
นายหญิงใหญ่ขอบคุณ ก่อนจะนั่งลงด้านขวามือของเหล่าไท่จวิน
หลี่เมิ่งซีคีบกับข้าวให้เหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่อย่างระมัดระวัง นางหรือจะรู้ความชื่นชอบของเหล่าไท่จวิน หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตัก แต่ภายนอกกลับดูสุขุมมั่นคง คอยสังเกตแววตาของเหล่าไท่จวิน เห็นสายตานางเลื่อนไปยังอาหารจานใดก็จะคีบใส่จานตรงหน้าเหล่าไท่จวิน หลี่เมิ่งซีรู้ว่าปกติคนสูงวัยกินไม่มาก ดังนั้นทุกครั้งนางจึงคีบน้อยมาก เห็นเหล่าไท่จวินกินหมดแล้วแต่ยังอยากจะกินอีก นางถึงจะคีบให้อีกหน่อย นำเอาหลักการกินบุฟเฟ่ต์ของคนยุคปัจจุบันที่เน้นการตักน้อยแต่บ่อยมาใช้อย่างเต็มที่
ในที่สุดภายใต้การชี้แนะของสาวใช้รุ่นใหญ่ของเหล่าไท่จวินซื่อซูและการสังเกตสีหน้าผู้อื่นของนาง อาหารมื้อนี้จึงจบลงโดยไม่มีข้อผิดพลาดใด เห็นเหล่าไท่จวินมองมาด้วยสายตาชื่นชม หลี่เมิ่งซีก็พรูลมหายใจยาวออกมา
เหล่าไท่จวินกินอาหารเสร็จก็มอบอาหารหลายอย่างบนโต๊ะที่ไม่ได้แตะต้องให้สะใภ้ใหญ่กับหลี่เมิ่งซี ให้พวกนางนั่งกินในห้องโถง ก่อนจะสั่งให้คนยกโต๊ะออกไป
นายท่านใหญ่ต้องจัดการเรื่องกิจการของสกุลเซียว จึงขอตัวและไปห้องหนังสือนอกกับเซียวชิง นายหญิงใหญ่เนื่องจากถึงเวลาที่ผู้ดูแลงานด้านต่างๆ ในคฤหาสน์มารายงานธุระแล้วจึงขอตัวด้วยเช่นกัน
เหล่าไท่จวินเพียงโบกมือ “รีบไปเถอะ มีธุระการงานมากมายรออยู่ มีหลานสะใภ้สองคนอยู่เป็นเพื่อนข้าก็พอแล้ว”
หลังจากนายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่จากไปแล้ว หลี่เมิ่งซีกับสะใภ้ใหญ่จึงนั่งลงอีกครั้ง เริ่มสนทนาเรื่องทั่วๆ ไปกับเหล่าไท่จวิน
เหล่าไท่จวินเงยหน้าขึ้น เห็นเซียวอวิ้นยังนั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าพลันขรึมลง “อวิ้นเอ๋อร์ ไฉนจึงยังนั่งอยู่อีกเล่า เหตุใดยังไม่รีบไปสำนักศึกษาอีก นายท่านใหญ่รู้เข้าย่อมต้องถูกตำหนิอีกแน่”
“ท่านย่า วันนี้อาจารย์ต้องเข้าวังจึงหยุดสอนหนึ่งวัน บอกว่าไม่ต้องไปสำนักศึกษา ให้ทบทวนบทเรียนอยู่ที่บ้านก็พอขอรับ” เซียวอวิ้นรีบลุกขึ้นพูด
“แล้วเจ้ายังไม่รีบไปห้องหนังสือท่องตำราอีก ใกล้จะถึงกำหนดสอบเซียงซื่อปีหน้าแล้ว หากยังสอบไม่ผ่านอีก ระวังนายท่านใหญ่จะทุบเจ้าเอาได้” เหล่าไท่จวินว่า
“ที่แท้ปีหน้าซานซู จะไปสอบเคอจวี่หรือ เล่าเรียนที่สำนักศึกษาข้างนอก ไฉนจึงมีอาจารย์จากในวังได้” หลี่เมิ่งซีได้ยินเหล่าไท่จวินพูดเช่นนี้ก็ถามด้วยความประหลาดใจ
“เป็นสำนักศึกษาของสกุลเซียว คุณชายสามสอบเซียงซื่อสองปีแล้วยังไม่ผ่าน ปีก่อนคุณชายรองจึงวานพระชายาจิ้งเฟยที่อยู่ในวังให้หาอาจารย์แซ่หลี่มาสอนหนังสือ ว่ากันว่าแต่ก่อนอาจารย์ผู้นี้เคยสอนรัชทายาท ทุกเดือนจะมาสอนที่นี่สิบวัน เวลาอื่นๆ ยังคงเป็นอาจารย์ของสกุลเซียวเป็นผู้สอน” สะใภ้ใหญ่อธิบายเสียงค่อยเนิบช้า เวลานี้เซียวอวิ้นก็ลุกขึ้นขอตัวเดินออกไปแล้ว
เหล่าไท่จวินมองสะใภ้ใหญ่ ถามว่า “ได้ยินว่าเมื่อวานชิงเอ๋อร์ไปส่งซุนอี๋เหนียงกลับบ้านเดิมหรือ”
“เรียนเหล่าไท่จวิน สองวันก่อนซุนอี๋เหนียงเป็นหวัด ประจวบเหมาะพี่น้องจากทางตอนใต้ของนางกลับมาเยี่ยมบ้าน ซุนอี๋เหนียงขออนุญาตคุณชายใหญ่แล้ว คุณชายใหญ่เองก็อยากให้ซุนอี๋เหนียงออกไปผ่อนคลายจิตใจ อาการป่วยจะได้หายเร็วขึ้นหน่อยจึงได้อนุญาต เมื่อวานคุณชายใหญ่จะไปร่วมงานเลี้ยงของสหายคนหนึ่ง อยู่ทางเดียวกันพอดี จึงถือโอกาสพาไปส่งเจ้าค่ะ” สะใภ้ใหญ่ตอบ
“ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงอนุ กลับตามอกตามใจถึงเพียงนั้น ให้บ่าวชายไปส่งนางก็พอแล้ว มีเหตุผลใดต้องไปส่งด้วยตนเองอีก ดีร้ายอย่างไรชิงเอ๋อร์ก็เป็นถึงนายอำเภอขั้นห้า เหตุใดจึงเลอะเลือนเช่นนี้ อีกอย่างซุนอี๋เหนียงก็ป่วยอยู่ อนุญาตให้ออกจากคฤหาสน์ไปได้อย่างไร สกุลของพวกเราทำอย่างนี้ หากให้ญาติสนิทมิตรสหายรู้เข้าจะไม่หัวเราะเยาะเราที่ไร้ระเบียบกฎเกณฑ์หรือ ชิงเอ๋อร์วู่วามเลอะเลือน ไยเจ้าจึงไม่ตักเตือนบ้าง ปกติเห็นเจ้าเป็นคนรู้หนังสือรู้มารยาท เหตุใดจึงไม่เอาไหนเช่นนี้นะ!” เหล่าไท่จวินพูดไปพูดมา น้ำเสียงก็เฉียบขาดขึ้น
ที่แท้กฎธรรมเนียมในคฤหาสน์หลังใหญ่เช่นนี้ก็เข้มงวดมาก สตรีเมื่อแต่งเข้ามาแล้วจะไม่อนุญาตให้กลับบ้านไปง่ายๆ โดยเฉพาะหากเป็นอนุ เพราะเท่ากับขายตัวให้บ้านสามีแล้ว เว้นแต่บ้านเดิมมีอำนาจเป็นพิเศษ สามารถส่งคนกลับมารับไปอยู่เป็นครั้งคราวได้ไม่เกินสองสามวัน เหล่าไท่จวินได้ยินว่าเซียวชิงไม่เพียงอนุญาตให้อี๋เหนียงกลับบ้าน ยังไปส่งอีกฝ่ายด้วยตนเอง อีกทั้งอี๋เหนียงก็ยังป่วยอยู่ด้วย พูดออกไปแล้ว ราวกับอี๋เหนียงอยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียวนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วจะไม่ให้โกรธได้อย่างไร