หลี่เมิ่งซีเห็นสีหน้าของพวกนางแล้วอารมณ์ดียิ่ง คิดๆ ดูแล้ว ถึงอย่างไรนางก็ทำเยอะจึงให้คนแบ่งเป็นสองส่วน ใช้กล่องอาหารบรรจุอาหารชุดหนึ่ง ใส่โจ๊กดอกเหมยกับขนมอีกสองสามอย่างลงไป และให้คนนำไปมอบให้เหล่าไท่จวินตอนที่ยังร้อนๆ
จัดการส่วนของเหล่าไท่จวินเสร็จ ค่อยให้สาวใช้ยกอาหารส่วนที่เพิ่มเครื่องปรุงพิเศษกลับเรือนกลาง
เข้ามาในเรือนเห็นเซียวจวิ้นนั่งอยู่ในห้องโถงแล้ว กำลังพูดคุยบางอย่างกับหงอวี้ ทั้งสองเห็นนางเข้ามา ต่างก็ปิดปาก
หลี่เมิ่งซีส่งสัญญาณให้สาวใช้จัดสำรับพลางพูดกับเซียวจวิ้น “วันนี้คุณชายรองดูสดชื่นขึ้นมาก”
“เมื่อคืนหลับลึก เลยหลับสนิททั้งคืน ตื่นมาจึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มือเท้าก็มีแรง เมื่อครู่เดินวนในลานรอบหนึ่ง ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเส้นเอ็น ยามนี้ก็กำลังหิวอยู่พอดี” พอเซียวจวิ้นเห็นอาหารที่ยกมาแล้วก็อารมณ์ดีมาก คำพูดจึงมากตามไปด้วย
“นี่คือเต้าหู้สามสหายที่ข้าภรรยาทำเอง วัตถุดิบหลักใช้เต้าหู้ เห็ดกระดุม หน่อไม้ อาหารจานนี้มีสรรพคุณบำรุงเลือดลม ระบายความร้อนละลายเสมหะ เหมาะกับคนที่เพิ่งหายป่วย มีร่างกายอ่อนแอ ม้ามกับกระเพาะยังไม่แข็งแรง ไม่มีความอยากอาหาร กินได้น้อย และหายใจหอบสั้น ประเดี๋ยวคุณชายรองกินให้มากหน่อยนะเจ้าคะ” หลี่เมิ่งซีชี้เต้าหู้สามสหายที่ถูกยกออกมาพลางแนะนำเสียงอ่อนหวาน จากนั้นจึงแนะนำอาหารจานอื่นๆ รอจนอาหารถูกยกขึ้นโต๊ะครบแล้ว นางค่อยล้างมือและก้าวขึ้นมาคีบอาหารให้เขา
เห็นหลี่เมิ่งซีจะเข้ามาปรนนิบัติ เซียวจวิ้นลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก “ที่นี่มีหงอวี้ก็พอแล้ว เจ้าไปคารวะเหล่าไท่จวินที่เรือนหลักก่อนเถอะ บอกท่านย่าว่าวันนี้ข้าหายดีแล้ว รู้สึกขามีกำลังขึ้นมาก มือยกของที่ค่อนข้างหนักได้แล้ว เมื่อเช้ายังฝึกหมัดมวยรอบหนึ่งด้วย บอกท่านย่าว่าไม่ต้องเป็นกังวล อีกสองวันรอให้ข้าหายดีแล้วจะไปคารวะท่านด้วยตนเอง งานในห้องหนังสือข้ามีไม่น้อย เจ้าไม่ต้องรีบกลับมาปรนนิบัติหรอก อยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนท่านย่าแทนข้าให้นานหน่อย”
หลี่เมิ่งซีรับคำ หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องด้านใน ให้หงจูปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าแต่งตัวเสียใหม่ ก่อนจะมุ่งหน้าไปเรือนโซ่วสี่ของเหล่าไท่จวินพร้อมกับหงจู
ถึงเรือนโซ่วสี่ หลี่เมิ่งซีเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เดินอ้อมฉากบังลมลายต้นสนกับนกกระเรียนไป เห็นเหล่าไท่จวินนั่งอยู่ก่อนแล้ว นอกจากนายท่านใหญ่ที่เมื่อวานออกไปจัดการเรื่องการค้า กลางคืนจึงไม่ได้กลับคฤหาสน์ ทุกคนก็ล้วนมากันพร้อมหน้าแล้ว หลี่เมิ่งซีรีบเข้าไปคารวะเหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่ จากนั้นทักทายคุณชายใหญ่ สะใภ้ใหญ่ และคุณชายสาม เสร็จแล้วจึงค่อยนั่งลงฝั่งขวามือของสะใภ้ใหญ่
รอหลี่เมิ่งซีนั่งลงแล้ว เหล่าไท่จวินก็เอ่ยถาม “ไยวันนี้ซีเอ๋อร์จึงมาเช้าถึงเพียงนี้ จวิ้นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
หลี่เมิ่งซีรีบลุกขึ้นย่อกายให้เหล่าไท่จวิน “วันนี้ร่างกายของคุณชายรองดีขึ้นมาก เมื่อเช้าหลานจัดสำรับอาหารเสร็จ เดิมทีคิดว่าปรนนิบัติคุณชายรองกินอาหารเสร็จแล้วค่อยมา แต่คุณชายรองกลับร้อนใจไล่หลานออกมาเสียก่อน บอกให้หลานมาคารวะเหล่าไท่จวินและเรียนเหล่าไท่จวินว่าคุณชายรองหายดีแล้ว ขารู้สึกมีกำลังขึ้นมาก มือก็ยกของหนักได้แล้ว เช้าวันนี้คุณชายรองยังฝึกหมัดมวยรอบหนึ่งด้วย คุณชายรองฝากบอกเหล่าไท่จวินว่าไม่ต้องกังวล อีกสองวันเมื่อหายดีแล้วจะมาคารวะเหล่าไท่จวินด้วยตนเอง ยังบอกหลานว่าคารวะเหล่าไท่จวินแล้วไม่ต้องรีบร้อนกลับไป ให้อยู่เป็นเพื่อนท่านย่าแทนคุณชายรองเจ้าค่ะ”
“ดี ดี จวิ้นเอ๋อร์หายดี ข้าก็วางใจ นี่นับเป็นบุญของสกุลเซียวเราโดยแท้ วันหลังซีเอ๋อร์ปรนนิบัติจวิ้นเอ๋อร์กินอาหารเสร็จค่อยมาก็ยังไม่สาย ที่นี่มีแม่สามีเจ้ากับพี่สะใภ้แล้ว ไม่ต้องรีบมาหรอก” เหล่าไท่จวินพูดอย่างดีใจ
หลี่เมิ่งซีรีบรับคำ นึกถึงอาหารที่ส่งมาเมื่อเช้าจึงพูดต่อ “เหล่าไท่จวิน เมื่อเช้าหลานเห็นอวี้จู๋กับหน่อไม้สดที่ทางห้องครัวเพิ่งซื้อเข้ามา เกิดคิดถึงอาหารที่เคยกินขึ้นมา จึงลงมือทำเต้าหู้สามสหายกับอวี้จู๋ตุ๋นเนื้อให้คุณชายรอง เห็นว่าอาหารสองอย่างนี้นุ่มและอร่อย ย่อยง่าย เหมาะกับเหล่าไท่จวินมาก จึงเพิ่มเครื่องเคียงอีกสองอย่าง นำมาให้พร้อมกับโจ๊กดอกเหมยและขนมอีกสองสามอย่างที่ทำตอนเช้า ประเดี๋ยวเหล่าไท่จวินลองชิมดูนะเจ้าคะ หลานฝีมือไม่ดี ขายหน้าเหล่าไท่จวินแล้ว”
“มีใจกตัญญูก็พอ โจ๊กที่ซีเอ๋อร์ทำรสชาติดีมาก อร่อยกว่าของแม่ครัวในคฤหาสน์มากนัก ไว้วันใดเขียนวิธีทำให้แม่ครัวลองทำดูเถอะ ทุกคนจะได้ชิม”
หลี่เมิ่งซีรับคำ สมาชิกในครอบครัวสนทนากันอีกสักพัก เหล่าไท่จวินจึงสั่งให้คนตั้งโต๊ะ
เหล่าไท่จวินสั่งให้นายหญิงใหญ่นั่งลงและให้หลี่เมิ่งซีกับสะใภ้ใหญ่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ นายหญิงใหญ่นั่งลงฝั่งขวามือของเหล่าไท่จวิน เหลือบมองหลี่เมิ่งซีที่ยืนอยู่ข้างกายเหล่าไท่จวินด้วยสายตาชิงชัง นางไม่ชอบลูกสะใภ้คนนี้แม้แต่น้อย วันนี้เห็นนางคิดแต่จะเอาใจเหล่าไท่จวินเช่นไร กลับไม่เห็นหัวตนซึ่งเป็นแม่สามีเลยสักนิด ในใจจึงยิ่งรังเกียจ จนใจที่ตอนนี้ยังจับผิดหลี่เมิ่งซีไม่ได้จึงได้แต่นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่พูดไม่จา