ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 3 ตอนที่ 3
หลี่เมิ่งซีเหลือบมองจือชิวแวบหนึ่งพลางลอบตำหนินางในใจว่าขาดความยับยั้งชั่งใจเกินไปแล้ว แค่ต้องการเอาชนะก็ถึงกับจะขอให้รัชทายาทซื้อร้านค้าให้เชียวหรือ ไม่พูดถึงว่าเรื่องเล็กแค่นี้สมควรขอร้องรัชทายาทหรือไม่เลย เอาแค่เรื่องที่ว่าข้างกายไม่มีใครรู้เรื่องเครื่องหยก ซื้อร้านกลับมาแล้วใครจะเป็นผู้ดูแลเล่า
ด้วยรู้ว่าจือชิวโมโหเพราะตนถูกรังแก ยิ่งโมโหเพราะเซียวจวิ้นไม่ยอมออกหน้า หลี่เมิ่งซีจึงไม่ได้ตำหนินางมากนัก เพียงตอบเสียงเรียบ “องครักษ์ของรัชทายาทไปซื้อยาที่ร้านยาอี๋ชุนบ่อยๆ นานวันเข้าจึงคุ้นเคยกัน วันหน้าจือชิวอย่าวู่วามเช่นนี้อีก เจอเรื่องอะไรต้องหัดสุขุมเสียบ้าง ต่อให้พวกเราซื้อร้านนั้นมาด้วยความอยากเอาชนะก็ไม่มีปัญญาจะจัดการดูแลหรอก เรื่องนี้ไว้วันหน้าค่อยพูดถึง ใช่แล้ว คุณชายรองเล่า ไฉนจึงยังไม่ออกมาอีก”
ฟังคำพูดหลี่เมิ่งซีแล้ว จือชิวก็รู้สึกว่าตนเองวู่วามเกินไปจริงๆ นางรีบผงกศีรษะรับคำ ได้ยินสะใภ้รองพูดถึงคุณชายรอง หันกลับไปมองถึงพบว่าคุณชายรองยังไม่ออกมา สามคนมองหน้ากันไปมา ทว่าไม่มีใครยอมเดินกลับไปที่ร้านหยกอีก
สุดท้ายหลี่เมิ่งซีจึงพูดว่า “ช่างเถอะ ถูกหลงจู๊ก่อกวนเช่นนี้ อารมณ์ดีๆ หายไปหมดแล้ว พวกเรารออยู่ตรงนี้แล้วกัน! ช้าเร็วคุณชายรองก็ต้องออกมาแน่ ใกล้เที่ยงแล้ว รอคุณชายรองออกมาแล้ว พวกเราก็ค่อยกลับกัน”
เซียวจวิ้นตามมาอย่างร้อนใจ เห็นทั้งสามรออยู่ข้างหน้าไกลออกไปก็ให้โมโหเหลือเกิน ตอนนี้จำได้แล้วหรือว่าต้องรอเขา แล้วเมื่อครู่พวกนางมัวทำอะไรอยู่ ถูกคนรังแกแล้วยังไม่รู้จักเรียกเขาอีก!
เห็นพวกนางยืนอยู่ริมถนนก็รู้ว่าคงไม่เดินออกไปไกลแล้ว เมื่อมีความมั่นใจ เซียวจวิ้นจึงตีหน้าเย็นชาทำเป็นไม่มองพวกนาง แล้วเดินตรงเข้าไปในร้านขายภาพด้านข้าง
หลี่เมิ่งซีเห็นเซียวจวิ้นไม่สนใจพวกนางก็รู้ว่าเขาโกรธ จึงเหลือบมองสองสาวใช้ เห็นพวกนางต่างก็ยืนนิ่งมองเซียวจวิ้นอยู่เช่นกัน นางจึงค้อนใส่ทั้งสองคน ยืนนิ่งอยู่ทำไมเล่า ยังไม่รีบตามไปอีก!
ทั้งสามเดินตามเซียวจวิ้นไป เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นอยู่ข้างหลัง มุมปากพลันผุดรอยยิ้มน้อยๆ ก้าวเท้าเดินดูภาพวาดและอักษรอย่างสบายใจ
สมัยโบราณร้านขายภาพเป็นสถานที่อันสูงส่ง ผู้มาล้วนเป็นบัณฑิตและปัญญาชน ในร้านแม้มีลูกค้ามาก แต่กลับเงียบสงบยิ่ง มีลูกค้าออกความเห็นกับภาพบางภาพเป็นบางครั้ง แต่ก็สนทนากันด้วยเสียงแผ่วเบา ด้วยเกรงจะรบกวนความสงบของผู้อื่น
หลี่เมิ่งซีไม่ได้ชื่นชอบภาพวาดเป็นพิเศษ แต่กลับชอบบรรยากาศเงียบสงบเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของปัญญาชนเช่นนี้ ทำให้นางคิดถึงวัฒนธรรมกาแฟในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เห็นเซียวจวิ้นชมอักษรและภาพวาดบนผนังด้วยสีหน้าดื่มด่ำ ไม่เย็นชาเป็นน้ำแข็งเหมือนที่ผ่านมาแล้ว นางก็คิดไม่ถึงว่าภูเขาน้ำแข็งลูกนี้จะชอบอักษรและภาพวาดเป็นพิเศษ นางเดินตามหลังเขา ดูภาพวาดไปเรื่อยเปื่อย
เสียงพิณพลันดังขึ้น ทำลายความเงียบสงบในร้านขายภาพนี้ไป ทั้งยังเป็นบทเพลง ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ ที่หลี่เมิ่งซีคุ้นเคยเป็นอย่างดี
รัชทายาทอยู่ข้างบน?!
หลี่เมิ่งซีเหลือบมองจือชิวด้วยสายตาตั้งคำถาม จือชิวมองนางอย่างงุนงงเช่นกัน แต่เมื่อพิจารณาให้ดี นี่มิใช่ฝีมือดีดพิณของรัชทายาทแน่ ครั้นเห็นจือชิวส่ายหน้าให้นางนิดๆ จึงยิ่งแน่ใจในความคิดของตนเอง
เหมือนหินก้อนหนึ่งที่โยนลงกลางทะเลสาบ ก่อให้เกิดคลื่นน้ำชั้นแล้วชั้นเล่า บทเพลงนี้นอกจากนางกับรัชทายาทแล้วก็ไม่มีใครรู้อีก หรือจะเป็นคนที่ทะลุมิติมาเหมือนกัน ว่ากันว่าพวกที่ทะลุมิติมาล้วนชมชอบในบทเพลง ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ นี้
ความรู้สึกของการเจอสหายเก่าในต่างแดนพลันผุดขึ้น ทั้งคุ้นเคยและร้อนใจ ก่อกวนให้จิตใจนางไม่อาจสงบลงได้ ทำให้นางหมุนตัวเดินไปตามเสียงพิณอย่างเร่งร้อน
“สะใภ้รอง ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ” จือชิวเห็นดังนั้นก็รีบร้องเรียก
ได้ยินเสียงจือชิว เซียวจวิ้นจึงหันกลับมา มองตามสายตาของนางไป เขาก็เห็นหลี่เมิ่งซีเดินไปยังชั้นสองอย่างเร่งร้อน ในใจลอบตระหนก เขาไม่เคยเห็นฝีเท้านางสับสนถึงเพียงนี้มาก่อน จึงรีบหมุนตัวตามไป
หลี่เมิ่งซีเดินตามเสียงพิณมาถึงหน้าประตูประณีตบานหนึ่งบนชั้นสอง บ่าวชายข้างประตูเพิ่งจะเอ่ยว่า “ลูกค้าโปรดหยุดก่อน”
ประตูก็ถูกหลี่เมิ่งซีผลักเปิด นางทอดสายตามองเข้าไป ก็เห็นคุณชายท่าทางสุภาพสง่างามคนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวผ้าต่วนสีฟ้านวล ผมยาวรวบเป็นหางม้าง่ายๆ ไม่ได้สวมเกี้ยว เสื้อตัวในสีขาวผมดำ ขับเน้นให้เขาดูล่องลอยยิ่งขึ้น เขานั่งขัดสมาธิอยู่หน้าพิณโบราณ สองมือลูบไล้สายพิณด้วยท่าทางเปี่ยมด้วยพลัง
มองชายหนุ่มตรงหน้าแล้ว ชั่วขณะหนึ่งที่หลี่เมิ่งซีทำอะไรไม่ถูก เสียงพิณหยุดลงกะทันหัน คุณชายผู้นั้นเงยหน้ามองมา เมื่อสบตากับหลี่เมิ่งซีแล้วตาเขาก็เป็นประกาย ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม่นางท่านนี้ เจ้า…”
ยังพูดไม่จบ เซียวจวิ้นที่รุดตามมาข้างหลังก็ยื่นมือมาดึงหลี่เมิ่งซีออกไปด้านข้าง ก่อนที่เขาจะก้าวมาแทน
คุณชายผู้นั้นเห็นเซียวจวิ้นเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นคารวะ “พี่เซียว ไม่พบกันนาน ท่านมาไฉนจึงไม่บอกสักคำเล่า น้องชายเสียมารยาทแล้ว ท่านนี้คือ…”
เซียวจวิ้นคลายมือที่จับหลี่เมิ่งซีเอาไว้ แล้วเดินขึ้นหน้า สองมือประสานเข้าด้วยกัน “ข้าก็คิดว่าผู้ใดกันที่มีอารมณ์สุนทรีย์ถึงเพียงนี้ ที่แท้เป็นน้องเถานี่เอง”
หลังทักทายกันแล้ว เห็นสายตาที่คุณชายเถามองหลี่เมิ่งซีทอประกายประหลาด เซียวจวิ้นจึงหันไปหาหลี่เมิ่งซีแล้วโอบนางเข้ามาในอ้อมกอดเบาๆ โดยไม่รู้ตัว ก่อนจะแนะนำคนทั้งสองให้รู้จักกัน “ซีเอ๋อร์ คุณชายผู้นี้คือคุณชายเถา เถาจวิ้นตงเซียนแห่งกวีที่โด่งดังในเมืองผิงหยาง น้องรัก นี่คือพี่สะใภ้ของเจ้า”
หลี่เมิ่งซีฟังแล้วก็เบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดของเซียวจวิ้น นางก้าวช้าๆ ขึ้นไปย่อกายเล็กน้อย “หลี่เมิ่งซีคารวะคุณชายเถา บุ่มบ่ามเข้ามารบกวนแล้ว ขอคุณชายเถาโปรดอภัยด้วย เมื่อครู่ได้ยินบทเพลงของคุณชายเถาแล้วรู้สึกประทับใจ เป็นบทเพลงที่เปี่ยมด้วยปณิธานอันแรงกล้าจริงๆ เฉกเช่นคลื่นใหญ่กระทบฝั่ง กวาดล้างทุกสิ่ง ขุนเขาสายน้ำนับหมื่นลี้ข้าจะท่องไปอย่างอิสระ ฟังแล้วน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก ไม่ทราบว่าบทเพลงนี้คุณชายแต่งเองหรือ”
ฟังเซียวจวิ้นแนะนำแล้ว ส่วนลึกของดวงตาเถาจวิ้นตงก็ฉายความผิดหวัง เห็นฮูหยินคารวะตน จึงรีบคารวะตอบ “พี่สะใภ้พูดเช่นนี้ แสดงว่าเป็นคนรู้ทำนองเหมือนกัน พี่สะใภ้ชมเกินไปแล้ว น้องชายหรือจะสามารถแต่งบทเพลงอันเยี่ยมยอดที่เปี่ยมด้วยปณิธานเช่นนี้ออกมาได้ เพลงนี้มีชื่อว่า ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ เป็นผลงานของเซียนปรุงยา ตอนที่น้องชายได้ยินครั้งแรกก็ตะลึงนึกว่าเป็นบทเพลงของเทพเซียนเสียอีก จึงขอทำนองมาแล้วฝึกบรรเลงอยู่บ่อยครั้ง ถือเป็นการผ่อนคลายจิตใจ เมื่อครู่ทำให้พี่สะใภ้ขบขันแล้ว”
ได้ยินว่าเพลงนี้เถาจวิ้นตงไม่ได้เป็นคนแต่ง หลี่เมิ่งซีจึงผิดหวังอย่างยิ่ง ผลงานของเซียนปรุงยา เซียนปรุงยาเป็นใคร ถูกเรียกขานว่าเซียนได้ ทั้งยังแต่งเพลง ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ ออกมาเช่นนี้ ไม่ต้องถามก็รู้ว่าต้องเป็นคนบ้านเดียวกับนางแน่นอน!
น่าละอายยิ่งนัก ผู้อื่นทะลุมิติมาก็ได้เป็นเซียน ทว่านางกลับต้องหดหัวอยู่ในเรือนปีกตะวันออก ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเสียได้
เทียบกับผู้อื่นแล้วช่างน่าโมโหยิ่งนัก หลี่เมิ่งซีแอบจดจำฉายา ‘เซียนปรุงยา’ ไว้ วันหน้าให้หลี่ตู้ลองไปสืบดูและขโมยวิชาของอีกฝ่ายมาดีกว่า พวกเราก็เปิดร้านยาเหมือนกัน ผู้อื่นเป็นเซียนได้ ต่อให้เราเป็นไม่ได้ อย่างน้อยเป็นอ๋องก็ยังดี ฉายา ‘อ๋องแห่งยา’ ก็เท่ดีเหมือนกัน ถึงเวลานั้นดูซิว่านางจะเหยียบเซียวจวิ้นให้จมดินได้หรือไม่!
เห็นเซียวจวิ้นกับเถาจวิ้นตงสนทนากัน นางจึงเดินดูอักษรและภาพเขียนบนชั้นสองกับจือชิวและจือชุนที่รุดตามมาข้างหลัง
ต่างจากภาพขุนเขาและสายน้ำที่ชั้นหนึ่ง เพราะที่ชั้นสองนี้จะเน้นภาพคนที่สื่อความหมายมากกว่า ระดับศิลปะก็สูงขึ้นอีกขั้น หลี่เมิ่งซีหยุดอยู่หน้าภาพวาดสตรีภาพหนึ่ง นางไม่มีความรู้เรื่องศิลปะของภาพวาดเลยแม้แต่น้อย ทว่าภาพนี้กลับทำให้นางมิอาจก้าวขาจากไปได้
ภาพนั้นใช้เพียงสีขาวกับสีดำ ใช้เส้นสายง่ายๆ ประกอบเป็นรูปสตรีที่ยืนพิงหน้าต่างและมองออกไป นอกจากดอกเบญจมาศหนึ่งดอกที่นอกหน้าต่างแล้ว พื้นหลังก็ไม่มีอะไรอื่นอีก สีขาวดำเข้มจางสลับกันทำให้ภาพดูมีมิติชัดเจนและเป็นหนึ่งเดียว เส้นสายละเอียดไหลลื่นต่อเนื่องไม่สิ้นสุด ภาพวาดง่ายๆ นี้แสดงถึงความอ่อนแอเปราะบาง งดงามเย้ายวนของสตรีได้ดียิ่งขึ้น สะท้อนความรู้สึกเย็นชาและอ้างว้างได้เป็นอย่างดี
ขณะมองอย่างลืมตัว นางก็ได้ยินเถาจวิ้นตงเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ก็ชอบภาพนี้หรือ”
หลี่เมิ่งซีหันกลับมาก็เห็นเถาจวิ้นตงกับเซียวจวิ้นเดินมาหยุดตรงหน้าภาพสตรีนี้เช่นกัน นางจึงหันกลับไปมองภาพแล้วพูด “ใช่ ภาพสตรีของคุณชายหน้าเย็นผู้นี้ใช้เพียงสีดำกับสีขาว ตวัดเส้นสายง่ายๆ เพียงไม่กี่เส้น ในภาพไม่มีคำว่าฤดูใบไม้ร่วงเลย แต่กลับชวนให้คนนึกถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงที่ดอกไม้สีเหลืองโปรยปรายทั่วผืนดิน อากาศหนาวเหน็บอ้างว้าง หว่างคิ้วคนงามฉายความกลัดกลุ้ม ยิ่งทำให้คนรู้สึกหม่นหมอง ใช่ว่าไม่บั่นทอนจิตวิญญาณ ลมประจิมหอบม่านกระพือไหว นางในหอห้องผ่ายผอมกว่าดอกไม้เหลือง ข้าคิดว่าคุณชายหน้าเย็นผู้นี้ต้องเป็นยอดฝีมือด้านการวาดภาพแน่นอน น่าเสียดายที่ข้าไม่มีวาสนาได้พบ”
หลี่เมิ่งซีจับจ้องภาพสตรีตรงหน้าโดยหันหลังให้เซียวจวิ้นกับเถาจวิ้นตง ทั้งยังเอ่ยคำพูดยาวเหยียด ฉับพลันรู้สึกว่าบรรยากาศรอบด้านแข็งชะงัก ขนอ่อนบนแผ่นหลังลุกชัน นางหันกลับมาทันที กลับเห็นเซียวจวิ้นกับเถาจวิ้นตงกำลังจ้องนางอย่างตะลึงงัน
หลี่เมิ่งซีหลั่งเหงื่อเย็นอย่างห้ามไม่อยู่ นางรู้ระดับฝีมือด้านอักษรและภาพวาดของตนเองดี โดยเฉพาะการเขียนพู่กันจีน กล่าวด้วยคำพูดของจือชิวคือไม่ต่างจากไก่เขี่ยนัก ยากนักที่จะเจอภาพวาดที่ทำให้นางประทับใจ ในใจเปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึก จึงแสดงความคิดเห็นออกมาเป็นครั้งแรก
นางวิจารณ์ผิดไปหรือ!