ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 3 ตอนที่ 3
เห็นเถาจวิ้นตงมองนาง เขากระแอมไอหลายทีก่อนจะพูด “พี่สะใภ้ไม่รู้มาก่อนหรือว่า ‘คุณชายหน้าเย็น’ ก็คือฉายาของคุณชายรองสกุลเซียว หรือที่ผู้คนเรียกขานกันว่าพญายมหน้าเย็น”
เห็นหลี่เมิ่งซีอึ้งไปเล็กน้อย เถาจวิ้นตงจึงพูดต่อ “หลี่จั้นถูกผู้คนเรียกขานว่าปีศาจอัจฉริยะ โอวหยางจู๋ซื่อจื่อของสกุลโอวหยางเป็นคนจากสกุลสูงศักดิ์ คุณชายรองสกุลเซียวที่ผู้คนตั้งฉายาว่าพญายมหน้าเย็น และผู้น้อย ซึ่งผู้คนเรียกขานรวมกันว่าสี่คุณชายแห่งผิงหยาง ในบรรดาพวกเรานี้ พี่เซียวโดดเด่นด้านอักษรและภาพวาด หลี่จั้นเชี่ยวชาญด้านความเรียง ฝีมือดีดพิณและเดินหมากของพี่โอวหยางเรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่ง ส่วนผู้น้อยเพียงแค่ชอบบทกลอนและบทเพลงเป็นพิเศษ”
คุณชายหน้าเย็น? พญายมหน้าเย็น…เย็นชาจริงๆ ด้วย อยู่ใกล้ในรัศมีสามเชียะสามารถทำให้คนหนาวตายได้ ฟังคำพูดนี้แล้วหลี่เมิ่งซีก็หันไปมองเซียวจวิ้น กลับเห็นตาหงส์ของเขาเบิกขึ้นเล็กน้อย และกำลังจับจ้องนาง มุมปากขยับนิดๆ เหมือนเจือแววขบขัน
หน็อย! หัวเราะเยาะข้ารึ! หลี่เมิ่งซีหันหน้าไปทางอื่นอย่างปั้นปึ่ง ไม่สนใจเขา!
ก่อนจะได้ยินเถาจวิ้นตงพูดต่อ “ ‘ใช่ว่าไม่บั่นทอนจิตวิญญาณ ลมประจิมหอบม่านกระพือไหว นางในหอห้องผ่ายผอมกว่าดอกไม้เหลือง’ พี่สะใภ้แค่เอ่ยออกมาอย่างไม่ตั้งใจยังได้โวหารที่ไพเราะเช่นนี้ วันนี้ผู้น้อยเพิ่งจะตระหนักถึงคำกล่าวที่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ไหนเลยจะกล้ารับฉายาเซียนแห่งกวีอีกเล่า โดยเฉพาะตั้งแต่เซียนปรุงยาปรากฏตัวขึ้นมา ยิ่งทำให้ผู้น้อยละอายยิ่งนัก ได้ยินน้องหลี่บอกว่าเซียนปรุงยาผู้นี้ไม่ใช่แค่ยาที่สามารถช่วยคนให้ฟื้นคืนชีพราวพระโพธิสัตว์ที่สามารถชุบชีวิตคนได้เท่านั้น ทว่าบทเพลงที่แต่งยังเป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า เกรงว่าใต้หล้าตอนนี้คงมีเพียงอักษรกับภาพวาดของพี่เซียวและความเรียงของน้องหลี่เท่านั้นที่เทียบได้”
เก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ น่าจะได้พบกันสักหน่อย
“หลี่จั้นที่คุณชายเถาพูดถึง ใช่หลี่จั้นที่เป็นที่ปรึกษาของรัชทายาทหรือไม่”
“ใช่แล้ว ความเรียงของหลี่จั้นผู้นี้อ่านแล้วคล่องปาก แพร่หลายไปทั่วท้องถนน ความสามารถน่าตื่นตะลึงจริงๆ เขาวางกลยุทธ์ที่สร้างความสงบมั่นคงให้กับบ้านเมือง ผู้คนเรียกขานว่าปีศาจอัจฉริยะ เป็นที่โปรดปรานของรัชทายาทอย่างมาก เพิ่งเข้ามาเป็นที่ปรึกษาของรัชทายาทเมื่อไม่นานมานี้เอง”
“เซียนปรุงยาผู้นี้เป็นสหายรักของหลี่จั้นหรือ ไม่เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้มาก่อน”
“พี่สะใภ้อยู่แต่ในเรือนมิค่อยได้ออกมา ย่อมไม่รู้จักอยู่แล้ว เซียนปรุงยาผู้นี้เพิ่งปรากฏตัวเมื่อไม่กี่เดือนก่อน คนผู้นี้แซ่หลี่ ชื่อเมิ่งถาน เป็นเจ้าของร้านยาอี๋ชุน ทั้งยังเป็นน้องชายบุญธรรมของรัชทายาท คนผู้นี้ชอบท่องเที่ยวไปทั่ว ใช้ชีวิตอย่างอิสระในยุทธจักร ไปมาลึกลับยากจะคาดเดา น้องหลี่เองก็มีวาสนาได้พบเขาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
พอคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมาจือชุนก็ตกใจเบิกตากลมโต อ้าปากหวอมองสะใภ้รอง ด้วยนางทราบเรื่องร้านยาอี๋ชุนแต่ไม่ทราบเรื่องรัชทายาท ก่อนจะถูกจือชิวที่มือไวคว้าตัวไว้ก่อน นางเกือบจะเผยพิรุธให้คุณชายรองเห็นเสียแล้ว
อะไรนะ?! นางกลายเป็นเซียนตั้งแต่เมื่อไร แม้แต่เรื่องที่นางสาบานเป็นพี่น้องกับรัชทายาทยังแพร่ออกไปแล้ว ตัวนางเองกลับเอาแต่ระมัดระวัง ปิดบังเรื่องนี้กระทั่งกับจือชุน!
ต่อให้หลี่เมิ่งซีสุขุมเพียงใด ชั่วขณะหนึ่งก็ดึงสติกลับมาไม่ได้ เห็นสีหน้านางแปลกไป เถาจวิ้นตงจึงถาม “พี่สะใภ้เป็นอะไรไปหรือ”
“ปรุงยาแค่ไม่เท่าไรก็ถูกเล่าลือว่าเป็นเซียนแล้วหรือ ข่าวลือเหลวไหลตามท้องถนนเช่นนี้ คุณชายเถาจะเชื่อถือง่ายๆ ได้อย่างไร”
“ซีเอ๋อร์อย่าเสียมารยาท เซียนปรุงยาใช่คนที่เจ้ากับข้าสามารถวิจารณ์ได้หรือ”
“พี่สะใภ้กล่าวผิดเสียแล้ว บทเพลง ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ ที่ดึงดูดท่านขึ้นมาข้างบนเมื่อครู่นี้ก็เป็นผลงานของเซียนปรุงยา แล้วจะเรียกว่าข่าวลือเหลวไหลได้อย่างไร”
แค่ข้าแสดงความถ่อมตนหน่อยก็ไม่ได้หรือ!
คำพูดของหลี่เมิ่งซีทำให้เซียวจวิ้นกับเถาจวิ้นตงมองนางอย่างไม่พอใจราวกับมีศัตรูคนเดียวกัน สบตากับจือชิวแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงหุบปากอย่างรู้กาลเทศะ
เห็นทุกคนไม่พูดอะไร เถาจวิ้นตงจึงหันไปพูดกับเซียวจวิ้น “ภาพวาดของพี่เซียววางอยู่ที่นี่มาครึ่งปีแล้ว ผู้น้อยเค้นสมองขบคิดอย่างเต็มที่กลับคิดไม่ออกว่ามีคำพูดประโยคใดเหมาะสมกับความกลัดกลุ้มตรงหว่างคิ้วของคนงาม เกรงว่าจะทำลายความหมายของภาพวาดไป จึงลังเลไม่ได้จรดพู่กันเสียที ประโยคนั้นของพี่สะใภ้ที่ว่า ‘ใช่ว่าไม่บั่นทอนจิตวิญญาณ ลมประจิมหอบม่านกระพือไหว นางในหอห้องผ่ายผอมกว่าดอกไม้เหลือง’ กลอนสอดคล้องกับภาพวาด ภาพวาดสะท้อนความหมายของกลอน ช่างเข้ากันดุจสวรรค์สรรค์สร้าง พี่เซียว อีกไม่กี่วันก็ถึงเทศกาลฉงหยาง* แล้ว ภาพวาดของพี่เซียวประกอบกับบทกลอนของพี่สะใภ้จะต้องคว้ารางวัลที่หนึ่งในงานโคลงกลอนเทศกาลฉงหยางแน่นอน ถึงเวลานั้นท่านอย่าลืมพาพี่สะใภ้มาร่วมงานด้วยเล่า”
“งานโคลงกลอนเทศกาลฉงหยาง?” หลี่เมิ่งซีทวนคำอย่างไม่เข้าใจ
“แต่ละปีผู้มีความสามารถในเมืองผิงหยางมักจะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ทุกฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงจึงจัดงานประชันบทกลอนขึ้น โดยทั่วไปฤดูใบไม้ร่วงจะเลือกช่วงเทศกาลฉงหยาง ทุกคนนัดกันขึ้นเขาชมดอกเบญจมาศ ท่องกลอนแต่งโคลง ทำเช่นนี้ทุกปีจนกลายเป็นธรรมเนียม แต่ละปีล้วนต้องแข่งประชันเพื่อหารางวัลที่หนึ่ง น้องเถาเป็นผู้ได้รับรางวัลที่หนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ซีเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องเลยหรือ”
เซียวจวิ้นเห็นหลี่เมิ่งซีไม่เข้าใจจึงอธิบายให้นางฟังอย่างใจเย็น แปลกใจว่าด้วยความรู้ความสามารถอย่างนางจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร สุดท้ายเขาจึงได้แต่ถามออกมาอย่างแปลกใจ
หลี่เมิ่งซีฟังแล้วก็ยิ้มประดักประเดิด “ตอนภรรยาผู้น้อยอยู่บ้านเดิม บิดาสุขภาพไม่แข็งแรงจึงมักต้องช่วยมารดาปรุงอาหารที่มีประโยชน์ให้บิดาอยู่บ่อยๆ น้อยครั้งที่จะออกจากบ้าน จึงไม่เคยได้ยินมาก่อน”
วันนี้คำว่า ‘ภรรยาผู้น้อย’ ฟังดูบาดหูเป็นพิเศษ เมื่อเหลือบเห็นสายตาของเถาจวิ้นตงแล้ว ใบหน้าของเซียวจวิ้นก็พลันแดงเป็นตับหมู สีแดงค่อยๆ ไต่ขึ้นมาบนลำคอ เขาจ้องหลี่เมิ่งซีเขม็ง ขยับริมฝีปากแต่มิได้เปล่งเสียงออกมา
เห็นสีหน้าเซียวจวิ้นแล้ว หลี่เมิ่งซีก็ย้อนคิดถึงคำพูดของตนเองเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนนางจะไม่ได้พูดอะไรผิดไปนี่นา จึงสบตาเขาอย่างเปิดเผย เผชิญหน้ากับเขา
ใครกลัวใครเล่า!
ทั้งสองจ้องตากันเนิ่นนาน เซียวจวิ้นหมุนตัวกะทันหัน ก่อนจะร้องสั่งบ่าวชายที่หน้าประตู “เอาพู่กันมา!”
ไม่นานบ่าวชายก็เอาพู่กันกับหมึกมา เซียวจวิ้นใช้พู่กันจุ่มหมึก เดินไปตรงหน้าภาพสตรี เขียนกลอนบทนั้นตรงพื%E