ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 3 ตอนที่ 4
ราวกับถูกน้ำเย็นราดรดศีรษะ หัวใจของจือชุนที่เพิ่งจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาพลันเฉาลงทันใด นางลอบคิดว่า ไม่ต้องไปพูดถึงสตรีของคุณชายรองที่มีอยู่เต็มเรือนหรอก แค่มีแม่นางซิ่วคอยก่อกวนเช่นนี้ ชีวิตนี้สะใภ้รองกับคุณชายรองก็อย่าหวังจะปรองดองกันได้เลย!
“คฤหาสน์นี้คนมากปากเยอะ วันหน้าอย่าพูดจาส่งเดชอีก คุณชายรองถูกนายหญิงใหญ่ตามตัวไป เรื่องทุกอย่างยึดความกตัญญูเป็นที่หนึ่ง เรื่องนี้เรามิอาจขัดขวางได้ มีข้ารับใช้เบิกตาดูอยู่ทั่ว เกิดเรื่องขึ้นมาพวกเราก็มีแต่จะเสียหน้าเท่านั้น!”
หลี่เมิ่งซีไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ ฟังเสียงบ่นของทั้งสองแล้ว แม้จะรู้ว่าพวกนางหวังดี แต่ก็เกรงว่าทั้งสองจะบังเกิดความแค้นกับจางซิ่ว พูดอะไรออกไปโดยไม่คิดจนวาจาชักนำภัยมาสู่ตัว ด้วยสถานการณ์ของนางในคฤหาสน์สกุลเซียว หากสาวใช้สองคนนี้ก่อเรื่องขึ้นมา ไม่แน่ว่านางจะปกป้องพวกนางได้ ดังนั้นจึงห้ามปรามทั้งสองอย่างจริงจัง
จือชุนกับจือชิวเห็นหลี่เมิ่งซีมีสีหน้าเคร่งเครียด แม้จะไม่พอใจเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก พวกนางรีบก้มหน้ารับคำ “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เห็นสาวใช้ทั้งสองยืนเงียบอยู่ตรงนั้น หลี่เมิ่งซีเองก็รู้ว่าเมื่อครู่นางพูดแรงไปสักหน่อย ในใจย่อมรู้สึกสงสาร คิดถึงเรื่องร้านยาแล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ใช่แล้ว ได้ยินคุณชายเถาคุยกับคุณชายรองวันนี้ ข้ารู้สึกว่าร้านยาอี๋ชุนมีชื่อเสียงไม่ธรรมดาในเมืองผิงหยางเลย คงจะดึงดูดความสนใจของคุณชายรองเข้าแล้วกระมัง”
“แน่นอนเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินพี่ชายบอกว่าเบื้องหลังร้านยาอี๋ชุนของเรามีรัชทายาทคอยสนับสนุน รวมเข้ากับยาลูกกลอนที่สะใภ้รองเป็นคนปรุงเอง ตอนนี้ก็แทบจะเป็นร้านยาที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของเมืองผิงหยางแล้ว แม้แต่พวกขุนนางและชนชั้นสูงยังไปขอร้องพี่ชายของบ่าวอยู่บ่อยๆ”
ได้ยินหลี่เมิ่งซีถามถึงร้านยาอี๋ชุน จือชิวพลันกระตือรือร้น ลืมเรื่องเมื่อครู่นี้ไปสนิท ยามนี้กำลังเล่าอย่างตื่นเต้น
ได้ยินจือชิวพูดถึงรัชทายาท หลี่เมิ่งซีก็เหลือบมองจือชุนแวบหนึ่ง ด้วยเกรงว่าในใจของเด็กคนนี้จะเกิดความเหินห่าง นางจึงเล่าเรื่องที่ตนสาบานเป็นพี่น้องกับรัชทายาทให้ฟังคร่าวๆ สุดท้ายก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “โบราณว่าโชคเคราะห์มาด้วยกัน ร้านยาอี๋ชุนมีชื่อเสียงโด่งดังย่อมเป็นเรื่องดี แต่ไม้ใหญ่ย่อมดึงดูดลม เกรงว่าวันหน้าคงมิใช่แหล่งพักพิงที่ดีแล้ว”
“สะใภ้รอง!”
ฟังคำหลี่เมิ่งซีแล้ว จือชิวพลันร้องเสียงแหลม นางกลัวจริงๆ ว่านับแต่นี้ไป สะใภ้รองจะปิดร้านยาอี๋ชุนจริงๆ ที่นั่นเป็นหยาดเหงื่อแรงงานของพี่ชายกับบิดาเชียวนะ!
เห็นท่าทางตื่นตระหนกของจือชิวแล้ว หลี่เมิ่งซีก็ขมวดคิ้ว เด็กคนนี้ชักจะวู่วามขึ้นทุกวันแล้ว ตอนเช้าพอโมโหก็พูดจาวางโตถึงขั้นจะซื้อร้านค้ากลับมา ตอนนี้ตนยังพูดไม่จบ นางก็ร้อนใจเสียแล้ว ต่อให้หวังดีก็ต้องดูด้วยว่าสถานที่เป็นที่ไหน และมีใครอยู่บ้าง
ในคฤหาสน์หลังใหญ่เช่นนี้ ร้ายกาจสักหน่อยนั้นได้ แต่ก็ต้องมีความสุขุมด้วย หาไม่แล้วเกรงว่าตายอย่างไรยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ คิดถึงตรงนี้หลี่เมิ่งซีก็หยุดพูด นั่งมองจือชิวนิ่งๆ
จือชิวถูกหลี่เมิ่งซีจ้องจนขนลุก นางก้มหน้าพูดอึกอัก “บ่าว บ่าวคิดว่าสะใภ้รองจะปิดร้านยา จึงร้อนใจไปหน่อยเจ้าค่ะ”
เห็นจือชิวสำนึกผิด หลี่เมิ่งซีจึงพูดต่อ “ข้ายังพูดไม่ทันจบ เจ้าก็ร้อนใจเสียแล้ว ไม่มีความสุขุมแม้แต่น้อย อยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ นิสัยที่ไม่ควรทำที่สุดก็คือนิสัยเช่นนี้ เจ้าเป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ของข้า ทุกคนต่างจับตาดูเจ้าอยู่ เจอปัญหาอะไรก็ต้องสุขุมเยือกเย็นเข้าไว้” น้ำเสียงของหลี่เมิ่งซีราบเรียบเนิบช้า ทว่ากลับแฝงความยืนกรานไม่ให้ขัดขืน
จือชิวฟังแล้วก็รู้ว่าสะใภ้รองโกรธ หลังจากใคร่ครวญให้ดี หลายวันมานี้เป็นเพราะสะใภ้รองไม่สนใจอะไรเลย นางจึงร้อนใจและวู่วามไปเล็กน้อย จือชิวรีบคุกเข่าลงทันใด “บ่าวผิดไปแล้ว วันหน้าบ่าวจะระวังมากขึ้น สะใภ้รองอย่าโกรธบ่าวเลยนะเจ้าคะ”
เห็นจือชิวทำเช่นนี้ หลี่เมิ่งซีจึงถอนใจเฮือกหนึ่ง “เจ้าลุกขึ้นเถอะ ข้าทำแบบนี้ก็ด้วยหวังดีต่อเจ้า ภาษิตว่าหายนะเกิดจากปาก อยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ ข้าเองยังไม่แน่ว่าจะปกป้องตนเองได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเจ้าเลย พวกเจ้าสี่คนติดตามข้าตั้งแต่เข้ามาในคฤหาสน์ ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าเป็นอะไรไปทั้งนั้น วันหน้าเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาต้องหัดสุขุมเยือกเย็น เรียนรู้ที่จะปกป้องตนเองถึงจะดี”
จือชิวกับจือชุนรีบรับคำ จือชุนดึงจือชิวขึ้นมา สองสาวใช้ยืนอยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง
มองทั้งสองแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงพูดต่อคำพูดเมื่อครู่นี้ “ข้ากำลังคิดถึงภาษิตที่ว่ากระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง* พวกเราไม่อาจพึ่งแต่ร้านยาเพียงร้านเดียว ตอนแรกข้าให้หลี่ตู้รับเด็กกำพร้ามาฝึกหัด เจ้าไปดูซิว่าอบรมสั่งสอนไปถึงไหนแล้ว”
“ประเดี๋ยวบ่าวจะส่งคนไปเจ้าค่ะ” ได้ยินหลี่เมิ่งซีพูดเช่นนี้ จือชิวจึงรีบรับคำ
“ช่วงนี้เกรงว่าข้าคงไม่สะดวกจะออกไป ทางที่ดีพรุ่งนี้เจ้าจงไปด้วยตนเอง หารือกับหลี่ตู้ดูว่าสามารถคัดคนหัวไวที่ไว้ใจได้จากกลุ่มเด็กกำพร้า แล้วเปิดร้านสาขาที่นอกเมืองผิงหยางสักร้านสองร้านได้หรือไม่ ทำเลที่ตั้งของร้านสาขานี้พยายามหลีกเลี่ยงให้ไกลจากกิจการของสกุลเซียว หากเงินไม่พอ ให้ลองเปิดหนึ่งร้านดูก่อน รอจนเงินหมุนพอแล้วค่อยคิดอ่านกันใหม่”
“สะใภ้รองไม่พูด พี่ชายกับท่านพ่อของบ่าวก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เจ้าค่ะ หลายวันก่อนยังพูดกับบ่าวอยู่เลย บอกว่าตอนนี้ร้านยาอี๋ชุนมีรายรับมหาศาล พื้นที่ตรงนั้นมิอาจขยายออกไปได้อีก มีเงินก็ได้แต่เก็บไว้นิ่งๆ จึงอยากหาซื้อที่ดินดีๆ นอกเมืองผิงหยางสักสองแห่งเพื่อเปิดร้านสาขา ให้บ่าวมาถามความเห็นของท่าน บ่าวเห็นหมู่นี้ท่านอารมณ์ไม่ดีจึงไม่กล้าเอ่ยถึง เพียงบอกพี่ชายว่าไม่ต้องร้อนใจ คิดว่าวันหน้าค่อยนำมาเรียนท่านก็ได้ คิดไม่ถึงว่าสะใภ้รองจะเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาก่อน”
จือชิวพูดถึงตรงนี้ก็เหลือบมองหลี่เมิ่งซีอย่างระวัง เห็นนางไม่พูดอะไรจึงพูดต่อ “แม้ปกติสะใภ้รองจะไม่ได้ก้าวออกจากประตู ไม่ได้ออกไปไหนก็จริง ทว่าท่านมีพรสวรรค์ในการทำการค้าจริงๆ นะเจ้าคะ ความคิดเช่นนี้บ่าวคิดหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก พรุ่งนี้บ่าวจะไปแต่เช้า ได้ยินพี่ชายบอกว่าด้วยกำลังของพวกเราตอนนี้ เปิดสามร้านก็ไม่เป็นปัญหา ตอนนี้ใกล้สิ้นเดือนแล้ว สองวันนี้ร้านยาอี๋ชุนจะส่งบัญชีมาให้ท่านตรวจดูเจ้าค่ะ”
น่าละอายยิ่งนัก ชาติก่อนบนท้องถนนล้วนเต็มไปด้วยร้านค้าปลีกแบบลูกโซ่ ซึ่งทุกร้านจะมีชื่อและการบริหารที่เป็นรูปแบบเดียวกัน ไม่คิดเลยว่าพอมาที่นี่จะกลับกลายเป็นพรสวรรค์ไปเสียได้ หลี่เมิ่งซีได้ยินจือชิวชมตน ใบหน้าพลันร้อนผ่าวอย่างอดไม่ได้ นางฟังแล้วก็รู้สึกละอายใจ