“หลายวันนี้ข้าสืบหาเบาะแสของเซียนปรุงยา บังเอิญพบว่าน้องสาวแท้ๆ ของหลงจู๊หลี่ร้านยาอี๋ชุนเป็นสาวใช้อยู่ในคฤหาสน์ของเจ้า บางทีนางอาจทราบเบาะแสของเซียนปรุงยาก็เป็นได้”
เซียวจวิ้นได้ยินเช่นนี้ก็ยืดตัวตรงทันใด เขาเอ่ยว่า “ข้อมูลที่รัชทายาทสืบมานี้น่าเชื่อถือหรือไม่ น้องสาวของหลงจู๊หลี่น่าจะเป็นถึงคุณหนู หลงจู๊หลี่จะปล่อยให้นางลดตัวลงมาเป็นบ่าวได้อย่างไร”
พูดจบไปนานเห็นรัชทายาทไม่เอ่ยอะไร เซียวจวิ้นจึงนั่งตามปกติอีกครั้ง “รัชทายาททรงลองตรัสมาว่าคนผู้นี้มีนามว่าอะไร รับใช้อยู่ในเรือนใด ข้าน้อยจะไปตามตัวนางมา รัชทายาททรงสอบถามดูก็รู้แล้ว”
“น้องสาวของหลงจู๊หลี่มีนามว่าหลี่ชุ่ย ขายตัวเข้ามาในคฤหาสน์สกุลเซียวเมื่อสองปีก่อนและเปลี่ยนชื่อเป็นจือชิว ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินของเจ้า”
ฟังคำนี้แล้ว เซียวจวิ้นสั่นสะท้านไปทั้งตัวราวกับมีกระแสไฟไหลผ่าน มือที่ถือถ้วยชาสั่นจนน้ำชากระฉอกออกมาและกระเซ็นลงบนพื้น เขาวางถ้วยลงบนโต๊ะอย่างแรง มองรัชทายาทและเอ่ยว่า “เรื่องนี้จะพูดส่งเดชไม่ได้เด็ดขาด สิ่งที่รัชทายาทตรัสมาเป็นความจริงหรือ ท่านมีหลักฐานหรือไม่”
“เรื่องใหญ่เช่นนี้ข้าจะกล้าพูดส่งเดชได้อย่างไร”
เห็นสายตาแฝงความนัยของรัชทายาท เซียวจวิ้นเหม่อลอยไปชั่วขณะ พลันนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้ตนได้รับบาดเจ็บมาหลายครั้ง ซีเอ๋อร์มักมีข้ออ้างสารพัดและขอยาดีจากร้านยาอี๋ชุนมาให้เขาได้เสมอ ทั้งยังทำแผลให้เขาด้วยตนเอง เขาเคยสงสัยเหมือนกันว่าเหตุใดซีเอ๋อร์จึงคุ้นเคยกับยามากมายถึงเพียงนั้น แต่พอคิดถึงหนังสือที่มีอยู่เต็มห้องนางแล้ว เขาจึงเข้าใจไปเองว่านางเรียนรู้มาจากตำรา…
ครั้งนั้นตอนที่เขาถูกกระบี่ของคนชุดดำแทง ซีเอ๋อร์ก็พาเขาไปร้านยาอี๋ชุนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง คิดถึงคนชุดดำแล้วตรงหน้าพลันปรากฏเหตุการณ์ตอนถูกคนชุดดำโจมตีทั้งสองครั้ง ตนพูดเรื่องนี้กับซีเอ๋อร์ด้วยความกังวลและเห็นสายตาไหววูบของนาง…
ตอนลูกสาวถูกพิษ นางกลับช่วยชีวิตไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ นั่นเป็นยาที่ภิกษุผู้สูงส่งมอบให้จริงๆ หรือ
ตอนเขาอยู่ทางใต้ ซีเอ๋อร์มักแอบออกจากคฤหาสน์ไปดื่มน้ำชาที่หอน้ำชาอีผิ่น…
ซีเอ๋อร์ถูกพิษเฮ่อหลงเหยียนและหยุดหายใจไปสี่วันแล้ว แต่กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ ส่วนจือชิวที่เป็นอิสระไปแล้วก็ยอมกลับมาเป็นบ่าวอยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียวต่อไป…
ชั่วขณะนั้นความสงสัยต่างๆ ที่วนเวียนอยู่ในใจมาตลอด เรื่องราวมากมายตลอดสองปีมานี้พลันโถมเข้ามาในหัวเหมือนคลื่นน้ำ เชือกที่มองไม่เห็นเส้นหนึ่งผูกร้อยเรื่องราวเหล่านี้เข้าด้วยกัน เซียวจวิ้นเข้าใจในทันที เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว ข้างหูได้ยินเสียงหึ่งๆ ดังไม่หยุด ได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่พูดอะไรเนิ่นนาน
“พี่เซียว พี่เซียว…”
ซั่งกวนหงฮุยร้องเรียกอยู่นาน เซียวจวิ้นจึงได้สติ มองเขาและถามว่า “รัชทายาทมาที่คฤหาสน์วันนี้ ต้องการยืนยันให้แน่ใจว่าใครคือเซียนปรุงยาใช่หรือไม่”
“พี่เซียว ทางใต้ส่งหนังสือกราบทูลเร่งด่วนหกร้อยลี้มา แจ้งว่าทุกวันล้วนมีคนตายเพราะโรคระบาดหลายร้อยถึงขั้นเป็นพันคน หมู่บ้านบางส่วนเต็มไปด้วยศพแล้ว ในสิบครัวเรือนมีเก้าครัวเรือนที่ว่างเปล่าไร้คน ผู้คนทั่วทั้งต้าฉีต่างหวาดกังวล เพื่อราษฎรทุกคน ข้าจำเป็นต้องพาเซียนปรุงยาเดินทางลงใต้ เรื่องนี้มิอาจรั้งรอ!”
ซั่งกวนหงฮุยพูดจบก็เห็นเซียวจวิ้นนั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา เขาจึงพูดต่อว่า “บัดนี้ทางเหนือแนวรบตะวันออกเพิ่งจะพ่ายแพ้ ทางใต้เกิดอุทกภัย โรคระบาดกำเริบ ในราชสำนักฝ่ายของเยียนอ๋องเหิมเกริม มีข่าวลือกระจายไปทั่ว เกิดคลื่นใต้น้ำปั่นป่วน เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง พี่เซียวจะต้องเห็นแก่ส่วนรวมเป็นสำคัญ เห็นแก่ราษฎรทั่วหล้าเป็นสำคัญ”
เห็นเซียวจวิ้นไม่พูดอะไร ซั่งกวนหงฮุยจึงส่ายหน้า ไม่ว่าใครที่ทราบข่าวนี้เป็นครั้งแรกก็ล้วนรับไม่ได้ทั้งนั้น กำลังจะโน้มน้าวต่อจู่ๆ เซียวจวิ้นก็สูดหายใจและเอ่ยว่า “ได้ ในเมื่อรัชทายาทแน่ใจว่าน้องสาวของหลงจู๊หลี่อยู่ในคฤหาสน์นี้ ข้าน้อยจะพาท่านไปพบนางเอง รัชทายาทมีคำถามอะไรจะได้ตรัสถามนางด้วยตนเอง”
“ดี พี่เซียวตรงไปตรงมาโดยแท้ ข้ามักได้ยินหลี่จั้นบอกว่าฮูหยินของเจ้ามากด้วยความสามารถ ข้ารู้สึกชื่นชมยิ่งนัก พี่เซียวจะเชิญนางออกมาพบด้วยได้หรือไม่!”
คำพูดนี้ของซั่งกวนหงฮุยนับว่าไร้มารยาทอย่างยิ่ง ในสมัยโบราณไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีฐานะสูงส่งเพียงใดก็ไม่อาจไปบ้านผู้อื่นและบอกว่า ‘ข้าชื่นชมภรรยาของเจ้าอย่างมาก เจ้าตามนางออกมาให้ข้าดูหน่อยเถอะ’ ได้ หากพบเจอคนหยาบคายเช่นนี้เป็นต้องถูกฝ่ามือซัดกระเด็นออกไปแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้นั่งดื่มน้ำชาอยู่ที่นี่ได้!