ซั่งกวนหงฮุยมาคฤหาสน์จันหยวนโดยมีหลี่ตู้กับโอวหยางตี๋พามา รถม้าถูกปิดอย่างมิดชิดและไม่ได้จอดที่หน้าประตู แต่แล่นมาจนถึงหอชังไห่ ซั่งกวนหงฮุยลงจากรถม้าและเดินตามหลี่ตู้เข้าไปในประตู
เงยหน้ามองไป หลี่เมิ่งซียืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว นางสวมชุดกระโปรงยาวแพรอวิ๋นจิ่นสีขาวลายไป่เหอ คลุมทับด้วยเสื้อผ้าโปร่งผ่าหน้าสีเหลืองขนห่าน เผยให้เห็นลำคอขาวผ่องปานหิมะและกระดูกไหปลาร้าที่มองเห็นได้ชัดเจน เรือนผมสีดำถูกรวบขึ้นแบบง่ายๆ ประดับด้วยปิ่นรูปผีเสื้อ ยามที่ชุดผ้าโปร่งเริงระบำตามสายลมยิ่งขับเน้นให้นางดูผ่อนคลายล่องลอยมากยิ่งขึ้น สง่างามไม่ธรรมดา ดูแตกต่างจากสะใภ้ผู้อยู่ในกฎระเบียบเฉกเช่นตอนที่เขาเห็นนางในคฤหาสน์สกุลเซียวโดยสิ้นเชิง เขาเห็นเพียงแวบเดียวก็มองจนเหม่อ
“รัชทายาท…” เห็นรัชทายาทยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น เสี่ยวจงจื่อจึงร้องเรียกเบาๆ
เสียงของเสี่ยวจงจื่อดึงสติของซั่งกวนหงฮุยกลับมา เขารีบก้าวเข้าไปหานาง
หลี่เมิ่งซีเดินออกมาสองก้าวเช่นกัน ย่อกายอย่างอ่อนช้อยและร้องเรียก “พี่ใหญ่”
“น้อง…ซีเอ๋อร์ สองวันนี้เจ้าสบายดีหรือไม่”
ได้ยินรัชทายาทเรียกชื่อตนเช่นนี้หลี่เมิ่งซีไม่คุ้นยิ่งนัก ร่างกายนางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มน้อยๆ “น้องสาวสบายดี เชิญพี่ใหญ่เข้าไปข้างในเถอะ”
เห็นหลี่เมิ่งซีมีสีหน้าผ่อนคลาย ดูแล้วไม่เป็นอะไร ซั่งกวนหงฮุยก็ยิ้มน้อยๆ พยักหน้า แล้วเดินตามหลี่เมิ่งซีกับหลี่ตู้เข้าไปในโถงรับแขกก่อนจะนั่งลง จือชิวยกน้ำชาเข้ามาแล้ว ซั่งกวนหงฮุยจิบคำหนึ่งและเงยหน้ามองหลี่เมิ่งซี คิดถึงเรื่องระหว่างนางกับเซียวจวิ้นแล้ว เขาเองก็อยากจะถามนางเสียเหลือเกิน แต่กลับไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร ขบคิดดูแล้วจึงเอ่ยว่า “ซีเอ๋อร์ วันนั้นไม่ทันได้ชี้แจงกับเจ้าให้ละเอียด เซียวจวิ้นบอกเจ้าหรือไม่ว่าเสด็จพ่อมีราชโองการให้ข้าเดินทางลงใต้”
“เรื่องนี้หลี่ตู้บอกน้องสาวแล้ว หลายวันนี้ร้านยาอี๋ชุนยังมีเรื่องให้ต้องจัดการ ต้องรออีกสามถึงห้าวันจึงจะออกเดินทางได้ พี่ใหญ่มีความเห็นว่าอย่างไร”
ซั่งกวนหงฮุยครุ่นคิดและตอบว่า “เมื่อวานได้รับข่าวเร่งด่วนหกร้อยลี้จากทางใต้ โรคระบาดครั้งนี้แพร่ระบาดรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตั้งแต่เกิดโรคจนถึงตอนนี้ เพียงสิบวันจากหมู่บ้านหวงเฉียวเพียงแห่งเดียวก็แพร่กระจายไปครึ่งมณฑลแล้ว รุนแรงราวกับมิอาจหยุดยั้งลงได้…เสด็จพ่อทรงร้อนพระทัยดั่งไฟลน เมื่อวานทรงเรียกตัวข้าเข้าวังต้องการให้ข้าออกเดินทางภายในวันสองวันนี้เลย ซีเอ๋อร์ โรคระบาดครั้งนี้มิอาจรั้งรอ เจ้าปล่อยวางธุระที่ร้านยาอี๋ชุนก่อนได้หรือไม่ แล้วออกเดินทางพรุ่งนี้เลย”
หลี่เมิ่งซีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูด “พี่ใหญ่ น้องสาวทราบข่าวเรื่องนี้ก็กังวลใจเช่นกัน จึงสั่งให้ร้านสาขาทางใต้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดไว้นานแล้ว เมื่อคืนศึกษาข้อมูลแล้ววินิจฉัยเบื้องต้นว่าน่าจะเป็นเพราะหลังเกิดอุทกภัยหนูและหมัดเพิ่มจำนวนขึ้นมาก ทำให้เกิดโรคระบาดชนิดหนึ่งที่มีหนูและหมัดเป็นพาหะ โรคชนิดนี้หากไม่ได้รับการควบคุมอย่างทันท่วงทีก็จะแพร่กระจายออกไปเร็วมาก ผลที่ตามมาน่ากลัวทีเดียว”
แม้จะเป็นถึงรัชทายาทแต่พอได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็ยังตกใจสะดุ้ง เขามองหลี่เมิ่งซีอย่างกระตือรือร้น พูดด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “ลำบากซีเอ๋อร์แล้ว ตามความเห็นของซีเอ๋อร์มีวิธีรักษาโรคนี้หรือไม่”
เห็นหลี่เมิ่งซีผงกศีรษะอย่างมั่นใจ ซั่งกวนหงฮุยก็ลุกขึ้นและก้าวเข้าไปคว้ามือหลี่เมิ่งซี เขาพูดอย่างตื่นเต้น “เป็นความจริงหรือ โรคระบาดนี้เจ้ารักษาได้จริงๆ หรือ!”
“พี่ใหญ่…” สองมือถูกรัชทายาทบีบกุมไว้จนเจ็บ หลี่เมิ่งซีดิ้นรนอยู่พักหนึ่งก็สลัดไม่หลุดจึงส่งเสียงออกมา
ได้ยินเสียงร้องของหลี่เมิ่งซี ซั่งกวนหงฮุยนึกขึ้นได้ว่าอารามตกใจทำให้เขาลืมไปว่านางเป็นสตรี ครั้นได้สติจึงปล่อยนิ้วมือเรียวเล็กอ่อนนุ่มอย่างอาลัย เหลือบเห็นพวงแก้มของหลี่เมิ่งซีเป็นสีแดงเรื่อ หัวใจเขาพลันไหวกระเพื่อม ซั่งกวนหงฮุยสูดหายใจลึก ประคองสติของตนเองไว้ ก่อนจะพูดอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “อ่ะแฮ่ม ข้าตื่นเต้นไปชั่วขณะ ลืมไปว่าซีเอ๋อร์เป็นสตรี ซีเอ๋อร์ หากโรคระบาดครั้งนี้รักษาได้จริง พวกเราก็รีบออกเดินทางกันเถอะ มุ่งหน้าลงใต้!”
หลี่เมิ่งซีถูมือของตนเอง เห็นรัชทายาทนั่งลงเรียบร้อยแล้ว นางจึงเอ่ยเสียงเรียบ “พี่ใหญ่ น้องสาวใคร่ครวญมาสองวันแล้ว โรคระบาดทางใต้นั้น ยามนี้เรื่องการรักษาเป็นเรื่องรองไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการควบคุมขอบเขตการระบาดของโรค ทำลายต้นตอของการแพร่ระบาดลงเสีย หาไม่แล้วจากทางเหนือเดินทางลงใต้อย่างน้อยต้องใช้เวลายี่สิบกว่าวัน แม้จะออกเดินทางในตอนนี้ เกรงว่ากว่าพวกเราจะไปถึงทางใต้ โรคระบาดคงแพร่กระจายไปหลายเมืองแล้ว มิอาจยับยั้งได้อีกต่อไป”
“ซีเอ๋อร์พูดมีเหตุผล เช่นนั้นตามความเห็นของซีเอ๋อร์ ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร”
“เมื่อครู่น้องสาวพูดไปแล้ว โรคระบาดครั้งนี้เกิดจากหนูและหมัด ก่อนอื่นต้องแยกเขตโรคระบาด กำจัดหนูและหมัด รวมถึงการเผาศพคนตาย…”