ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 5 บทที่ 6
ฮ่องเต้จิ่นตี้ที่อยู่ในวัง หลังออกจากวังฉือหนิงแล้วก็อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ เขาโบกมือสั่งให้เกี้ยวกลับไป เหลือไว้เพียงขันทีประจำตัว วังฉือหนิงทำให้เขาหายใจไม่ออก จึงอยากจะเดินเล่นตามลำพัง
ไทเฮากับเยียนอ๋องถึงกับตัดสินใจข้ามหน้าเขาที่เป็นฮ่องเต้ ในเวลาที่จำเป็นต้องใช้คนเช่นนี้ อาศัยเพียงคำให้การของอนุภรรยาคนหนึ่งในคฤหาสน์สกุลเซียวก็ตัดสินว่าเซียนปรุงยามีความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูงและยังออกพระราชเสาวนีย์มายึดทรัพย์สกุลเซียวและปิดร้านยาอี๋ชุนอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันให้ตั้งตัว ช่างเหลวไหลยิ่งนัก!
หลังการประชุมขุนนางและทราบข่าวนี้ เขาไม่มีเวลาให้คิดมากก็รีบตรงมายังวังฉือหนิงอย่างเร่งร้อน ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนไทเฮาตื่น เดิมทีตั้งใจโน้มน้าวอีกฝ่ายด้วยเหตุผล ต้องการให้ไทเฮาเข้าใจว่าตอนนี้ต้าฉีประสบภัยจากธรรมชาติ หายนะจากมนุษย์ โรคระบาดแพร่กระจายไปทั่ว เป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้คน โดยเฉพาะเซียนปรุงยา ต่อให้เซียนปรุงยาทำผิดมหันต์เพียงใดตอนนี้ก็ยังฆ่าไม่ได้ เขาอยากโน้มน้าวให้ไทเฮาออกพระราชเสาวนีย์อีกฉบับ ละเว้นความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูงให้เซียนปรุงยาเสีย ให้อีกฝ่ายทำคุณชดใช้ความผิดแทน
คิดไม่ถึงว่าฟังคำพูดนี้แล้วไทเฮาจะกริ้วจัด คาดคั้นฮ่องเต้จิ่นตี้ว่าอยากเห็นเสด็จแม่อย่างนางตายไวๆ ใช่หรือไม่ เรื่องอื่นก็แล้วไปเถอะ แต่เซียนปรุงยาหลอกลวงเบื้องสูงเพื่อจะได้ไม่ต้องถวายการรักษาให้นางซึ่งเป็นไทเฮา ฮ่องเต้ยังจะยกเว้นความผิดให้อีกหรือ!
เนื่องจากโมโหเกินไป ไทเฮายังพูดไม่ทันจบก็เป็นลมหมดสติไป เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้จิ่นตี้โมโหยิ่งนัก ที่จริงเขาสามารถออกราชโองการยกเลิกพระราชเสาวนีย์ได้ ต่อให้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าพระราชเสาวนีย์มีความผิดพลาด และตราบใดที่ราษฎรทั่วหล้ายังไม่รู้ อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถประชุมหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ทว่ายามนี้พระราชเสาวนีย์ถูกประกาศออกไปแล้ว ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีจะถูกประหารชีวิตในวันมะรืน เกรงว่าคงไม่มีเวลาแล้ว…
เขาเดินมาถึงหน้าประตูวังแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เงยหน้าเห็นคำว่า ‘วังหย่งเหอ’ ก็อึ้งไป ขมวดคิ้วและหันหลังเดินกลับ เพิ่งเดินไปได้สองก้าว พระชายาจิ้งเฟยก็ให้นางกำนัลประคองวิ่งออกมา พลางก้าวเร็วๆ เข้ามาหาและร้องว่า “ฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้จิ่นตี้ชะงัก เขาหยุดเดินโดยไม่รู้ตัว ยืนอยู่ที่เดิมโดยมิได้หันกลับไป เวลานี้เขาไม่อยากพบพระชายาจิ้งเฟยเป็นที่สุด
พระชายาจิ้งเฟยก้าวเร็วๆ เข้ามาหลายก้าวและคุกเข่าลง “หม่อมฉันขอฝ่าบาททรงเมตตา ละเว้นคนแก่และเด็กในสกุลเซียวด้วยเถอะเพคะ!”
เห็นใบหน้าของชายารักประหนึ่งดอกสาลี่ต้องน้ำฝน ฮ่องเต้จิ่นตี้พลันหัวใจหดเกร็ง เขาเอ่ยว่า “แม้เราจะเป็นถึงโอรสสวรรค์ผู้สูงส่ง แต่เราก็มิอาจหักล้างพระราชเสาวนีย์ของไทเฮาอย่างไร้เหตุผลได้ ฝ่ายในมิอาจก้าวก่ายเรื่องในราชสำนัก เรื่องนี้ชายารักอย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย!”
ฮ่องเต้จิ่นตี้พูดจบก็ก้าวเดินต่อไป พระชายาจิ้งเฟยคุกเข่าลงกอดขาฮ่องเต้จิ่นตี้พลางอ้อนวอน “ฝ่าบาท จะสายฟ้าหรือหยาดฝนล้วนเป็นพระกรุณา ครอบครัวของมารดาหม่อมฉันทั้งครอบครัวต้องรับโทษกะทันหัน ตายไม่น่าเสียดาย แต่ขอฝ่าบาททรงพิจารณาเรื่องนี้อย่างชัดเจนด้วย หากฝ่าบาททรงประหารเซียนปรุงยาจริง เกรงว่าแผ่นดินของพระองค์จะมิอาจรักษาเอาไว้ได้นะเพคะ…”
พระชายาจิ้งเฟยพูดถึงตรงนี้ เห็นแววเยียบเย็นที่สาดออกมาจากสองตาของฮ่องเต้จิ่นตี้ นางก็ตกใจจนกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป ได้แต่มองฮ่องเต้จิ่นตี้อยู่เช่นนั้น
เห็นฮ่องเต้จิ่นตี้จะก้าวเท้าออกไป ด้วยความร้อนใจและคิดว่าสกุลเซียวของนางต้องโทษหมดแล้ว วันนี้หากไม่เสี่ยงตายกราบทูล เกรงว่านางคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานเช่นกัน จึงกัดฟันพูด “ฝ่าบาททรงเคยบอกหม่อมฉันว่าจิ้งอวิ๋นต้าซือคาดการณ์ว่าโรคระบาดทางใต้นั้นเซียนปรุงยาสามารถคลี่คลายได้ ไม่พูดถึงข่าวลือที่ว่าเซียนปรุงยาคือสะใภ้รองสกุลเซียวเป็นความจริงหรือเท็จยากจะแยกแยะ แต่หากฝ่าบาททรงประหารคนของเซียนปรุงยาจริงและประกาศจับเซียนปรุงยา ต่อให้เซียนปรุงยามีใจสงสารคิดจะช่วยเหลือราษฎรจริงก็คงไม่กล้าออกหน้ารักษาโรคระบาดครั้งนี้แน่ หม่อมฉันได้ยินมาว่าหมู่บ้านทางใต้ที่เกิดโรคระบาด ตอนนี้ในสิบครัวเรือนว่างเปล่าไปเก้าครัวเรือนแล้ว ศพคนตายเกลื่อนกลาดไปทั่ว จิตใจผู้คนหวาดหวั่นพรั่นพรึง เวลาเพียงสิบกว่าวันโรคระบาดก็แพร่ไปถึงครึ่งมณฑล หากราชสำนักยังคิดหาหนทางรับมือไม่ได้สักที เกรงว่า…ฝ่าบาท หม่อมฉันขอเสี่ยงตายกราบทูลว่าชีวิตของไทเฮาเพียงพระองค์เดียวกับบ้านเมืองและแผ่นดินของพระองค์ ตลอดจนราษฎรต้าฉีอีกหลายหมื่น สิ่งใดกันแน่ที่สำคัญ ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาให้ถ่องแท้ด้วยเพคะ”
“ชายารักลุกขึ้นเถอะ เราเข้าใจแล้ว”
เห็นว่าน้ำเสียงของฮ่องเต้อ่อนโยนขึ้น รู้ว่าพระองค์รับฟังคำพูดของนางแล้ว พระชายาจิ้งเฟยจึงหยุดเมื่อเห็นว่าสมควร นางรีบขอบพระทัยและลุกขึ้นแล้วหลบไปยืนด้านข้าง ขณะกำลังจะเชิญฮ่องเต้เข้าไปในวังหย่งเหอก็เห็นขันทีคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ โขกศีรษะกราบทูล “ทูลฝ่าบาท รัชทายาทเข้าวังมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เรียกตัวรัชทายาทไปที่ห้องทรงพระอักษร” ฮ่องเต้จิ่นตี้เหลือบมองพระชายาจิ้งเฟยแวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินไปห้องทรงพระอักษร
พระชายาจิ้งเฟยกำลังจะเอ่ยปากทูลลา นางกลับเห็นฮ่องเต้จิ่นตี้หยุดเดินกะทันหัน เขาหันกลับมาเอ่ยว่า “พระราชเสาวนีย์ของเสด็จแม่ประกาศออกไปแล้ว เราเป็นโอรสสวรรค์มีอำนาจสูงส่งก็จริง แต่ก็เป็นบุตรของผู้อื่นด้วย มิอาจล้มล้างพระราชเสาวนีย์ของเสด็จแม่ได้อย่างไร้เหตุผล แต่หากมีคนมาร้องทุกข์กับเรา หรือมีราษฎรนับหมื่นเรียกร้องความเป็นธรรมแทนเซียนปรุงยา เราย่อมสามารถมอบหมายให้กรมอาญาพิจารณาคดีนี้ใหม่ได้!” ฮ่องเต้จิ่นตี้พูดจบก็หันหลังจากไป
พระชายาจิ้งเฟยตาเป็นประกาย นางรีบเอ่ยว่า “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงสนับสนุน น้อมส่งฝ่าบาทเพคะ!”