บทที่หนึ่ง
รัชศกเทียนฉี่ปีที่เจ็ด ปลายเหมันต์ต้นวสันต์ ดวงอาทิตย์ที่ถูกบดบังด้วยหมอกเบาบางทอแสงแดดอ่อนมัว อากาศแจ่มใสกำลังดี
“ ‘เทียนซู’ เดิมหมายถึงดาวเทียนซู ดวงดาวลำดับที่หนึ่งในกลุ่มดาวเป่ยโต่ว หากลากเส้นต่อไปทางซ้ายเป็นดวงดาวลำดับที่สอง ‘ดาวเทียนเสวียน’ ลากไปทางขวาเป็นดวงดาวลำดับที่สี่ ‘ดาวเทียนเฉวียน’ ในร่างกายมนุษย์ ‘จุดเทียนซู’ เป็นจุดชีพจรบนเส้นลมปราณเท้าหยางหมิงกระเพาะอาหาร อยู่ข้างสะดือห่างออกไปสองชุ่น ตั้งชื่อว่าเทียนซูเพื่อให้สอดคล้องกับปรากฏการณ์บนท้องฟ้า และเพราะโดยทั่วไปจุดนี้ถูกใช้เป็นศูนย์กลางเช่นเดียวกับดาวเทียนซู จึงไม่เพียงมีกระแสเลือดลมของเส้นลมปราณกระเพาะไหลเวียน ยังขับระบายเลือดลมในเส้นลมปราณมือหยางหมิงลำไส้ใหญ่” กลางตรอกเล็กในเจียงหนาน หากบังเอิญได้ยินเสียงหญิงสาวติดสำเนียงทางเหนือนี้เข้า ไม่ว่าผู้ใดล้วนอดไม่ได้ต้องหยุดเท้าสดับฟัง
อีกด้านของกำแพงสูงคือสวนด้านหลังของสำนักซิ่งหลิน ในสวนมีแปลงสมุนไพรแปลงหนึ่ง สมุนไพรที่ปลูกอยู่เพิ่งแตกยอดอ่อน สีเขียวชอุ่มปกคลุมไปทั่วพื้น ข้างแปลงสมุนไพรมีโต๊ะหินหนึ่งตัว ด้านบนมี ‘คัมภีร์หลิงซู’ วางอยู่ บนเก้าอี้เตี้ยข้างโต๊ะหิน เด็กชายอายุสิบขวบกำลังฟังศิษย์พี่รองอธิบายอย่างตั้งใจ
ศิษย์พี่ของเขานามว่า ‘อ้ายจื่อจิน’ อันที่จริงอายุก็ไม่น้อย ยี่สิบเจ็ดปีแล้ว แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีขาวเรียบง่าย เกล้าผมทรงสตรีออกเรือน ปักปิ่นไม้สลักลายดอกไม้เพียงอันเดียว ใต้แสงอรุโณทัยประหนึ่งดอกเหมยสีขาวมีหิมะแรกเหมันต์ปกคลุม
“ศิษย์พี่ จุดเทียนซูใช้รักษาอะไรหรือ” เด็กชายถามขึ้นเสียงอู้อี้
“จุดเทียนซูเป็นจุดที่อยู่เหนือเส้นลมปราณกระเพาะ ย่อมช่วยรักษาโรคที่กระเพาะอาหารและม้าม หากท้องร่วง ท้องอืด ท้องผูก ฝังเข็มที่จุดนี้ล้วนดียิ่ง”
“เหตุใดท้องร่วงใช้ได้ ท้องผูกก็ยังใช้ได้เล่า” เด็กชายถามอีก
“ฉวนเฉิง เจ้าต้องรู้ว่าเส้นลมปราณและจุดฝังเข็มในร่างกายคนเราล้วนมีไว้ใช้ลำเลียงเลือดลมประดุจทางน้ำ หมออย่างพวกเราต้องเป็นคนปรับสมดุลเลือดลมภายในทางน้ำเหล่านี้ ด้วยการขุดลอกกำจัดตะกอนเลน เมื่อทางน้ำโล่ง น้ำก็ไหลสะดวก ไม่กลายเป็นน้ำขัง อีกทั้งไม่เอ่อล้นจนก่อให้เกิดภัยพิบัติ ด้วยหลักการเดียวกันนี้ หากเลือดลมในเส้นลมปราณไหลเวียนคล่องตัว ไม่ว่าท้องร่วงหรือท้องผูกก็จะหายไปได้เอง”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” เด็กชายที่ชื่อว่า ‘ฉวนเฉิง’ กระจ่างแจ้งในบัดดล ร้องอย่างลิงโลด “รักษาด้วยการฝังเข็มรมยา คือการทำให้น้ำในทางน้ำภายในร่างกายไหลได้อย่างสะดวก เมื่อเลือดลมติดขัดก็จะมีบางคนแสดงอาการท้องร่วงออกมา บางคนก็ท้องผูก”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ
“แต่ศิษย์พี่จื่อเฟยบอกว่าการฝังเข็มรมยาให้ผลดีสู้กินยาไม่ได้” ฉวนเฉิงมุ่นหัวคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ว่าฝังเข็ม รมยา กินยา หรือออกกำลังตามวิถีแห่งเต๋าล้วนแต่เป็นแขนงหนึ่งของการรักษาด้านการแพทย์ ไม่แบ่งแยกดีเลว หากฝังเข็มรมยารักษาหายได้ ไหนเลยจะต้องกินยา”
“เมื่อใดข้าจะได้เรียนวิชาฝังเข็มรมยาจริงๆ เล่า” ฉวนเฉิงท้อแท้อยู่บ้าง ใบหน้าเล็กมุ่ยเป็นรูปอักษร ‘ชวน’
สีหน้ากลัดกลุ้มที่ดูแล้วน่าขบขันของเด็กน้อยช่างชวนให้หญิงสาวฉีกริมฝีปากออกเป็นรูปผลอิงเถาน้อยๆ ทว่าเพียงพริบตารอยยิ้มนี้ก็อันตรธานไป นางลูบผมฉวนเฉิงอย่างเอ็นดู “ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ ฝึกฝังเข็มและท่องทฤษฎีเพียงอย่างเดียวไม่มีประโยชน์อะไร ยังจำเป็นต้องฝึกกำลังข้อมือและทักษะมือด้วย อีกทั้งการฝึกลมปราณก็สำคัญยิ่ง หมอฝังเข็มจำเป็นต้องมีจิตใจที่จดจ่ออย่างเต็มที่ หากสามารถถ่ายทอดลมปราณของตนเองเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วยผ่านเข็ม และช่วยขจัดพิษออกไปได้ เช่นนี้จึงจะนับว่าฝึกฝนจนล้ำเลิศอย่างแท้จริง”
“ศิษย์พี่หมายถึงการฝังลมปราณหรือขอรับ แต่ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดใช้มาก่อน ใต้หล้านี้มีการฝังลมปราณจริงหรือ”
“มีแน่นอน” แววตาของอ้ายจื่อจินนิ่งงัน คล้ายมองทะลุฉวนเฉิงไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง หมอกเบาบางถูกสายลมพัดหายไป แสงอาทิตย์สายหนึ่งส่องลงมาสะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาสีดำสนิทของนาง ราวกับอาบย้อมนัยน์ตาคู่นั้นด้วยแผ่นทองชิ้นบางชั้นหนึ่ง
“ศิษย์น้องจื่อจิน” มีเสียงเรียกดังขึ้นจากประตูเรือน อ้ายจื่อจินหลุดจากภวังค์ เห็นศิษย์พี่ตู้จื่อเฟยมีสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนเช่นเดิม “อาจารย์จะออกตรวจแล้ว”