บนเขาไป๋อวิ๋นทะเลหมอกลอยล่อง อ้ายจื่อจินยืนอยู่บนยอดเขาทอดสายตาไปยังด้านล่าง ในรัศมีหนึ่งร้อยหลี่ ท้องนาดุจก้อนเต้าหู้ ชายคาเก่าคร่ำคร่า และถนนที่ตัดผ่านกันไปมา สะท้อนเข้าสู่ดวงตาที่มีน้ำตาคลอหน่วยของนางเงียบๆ ข้างตัวนางไม่ไกลนักคือหลุมศพใหม่ ป้ายหลุมศพไม่ได้สลักชื่อเอาไว้ เนื่องจากนางไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของชายผู้น่าสงสารผู้นั้น ซึ่งปรากฏตัวขึ้นตอนกลางดึกที่เรือนหลังของสำนักซิ่งหลิน
ฝังดินถือเป็นความสงบ ไม่ว่าคนผู้นี้ครั้งยังมีชีวิตเคยกระทำสิ่งใด หรือประสบเรื่องราวอะไรมา แต่เมื่อกลับสู่ผืนดินแล้วก็จะได้รับความสงบที่แท้จริง ดินคือแหล่งกำเนิดของโลก เป็นมารดาผู้เกื้อกูลทุกสรรพสิ่ง หวังเพียงให้เขาลืมความเจ็บปวดทุกข์ทรมานในโลกมนุษย์ กลับคืนสู่ความสงบได้อย่างแท้จริง
นางถอนใจแผ่วเบาเสียงหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำถามนาง “เจ้าคือคนสุดท้ายที่พบเขา?”
อาจเป็นเพราะเขาพูดติดสำเนียงทางเหนือ นางถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเสียงของบุรุษผู้นี้เป็นพิเศษ หันกายไปก็พบบุรุษชุดดำรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้า มีงอบบนศีรษะปิดบังใบหน้าไว้กว่าครึ่ง มองเห็นได้เพียงหนวดสั้นสีดำบนคางผอมซูบของเขา
ไม่รู้เพราะเหตุใด ทันทีที่บุรุษผู้นั้นเห็นใบหน้าของอ้ายจื่อจินแล้ว เขาก็พลันตัวแข็งทื่อ ลมหายใจคล้ายหยุดชะงัก ทว่าอึดใจเดียวเขาก็กลับมานิ่งสงบ และเดินเข้ามา
อันว่ารูปร่างผอมบางของเขาไม่สมควรก้าวเท้ามั่นคงหนักแน่นเช่นนี้ได้ ทว่าเขากลับเดินอย่างไม่ร้อนรน แต่ละก้าวประดุจเหยียบย่ำอยู่บนหัวใจของอ้ายจื่อจิน นางใจเต้นระรัวโดยไม่ทราบสาเหตุ สองมือกำเป็นหมัดแน่นอยู่ที่หน้าท้อง
เขาหันมองหน้านางอีกหน แม้นางจะมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงแววตาเย็นเยือกคู่นั้น นางรับรู้ได้เพียงแผ่นหลังตนเองชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น ซ้ำร่างกายราวกับจะอ่อนยวบลงได้ทุกขณะ ทว่านางยังคงรวบรวมความกล้ามองตรงไปยังใบหน้าที่มีงอบปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ราวกับทำเช่นนี้แล้วจะมองเห็นดวงตาเขาได้อย่างไรอย่างนั้น “เจ้าเป็นคนของหน่วยตงฉ่างหรือ”
“กล้าเอ่ยนามจริงของหน่วยตงฉ่างตรงๆ เสียด้วย? ขวัญกล้าไม่เบาทีเดียว”
นอกจากไม่แยแสหน่วยตงฉ่างแล้ว ยังกล่าววาจากระทบกระเทียบนางอีก เขาคงไม่ใช่คนของหน่วยตงฉ่าง บางทีคงจะเป็นสหายของผู้ตาย อ้ายจื่อจินคิดเช่นนี้ หลังตรึกตรองอีกครู่จึงถามว่า “เจ้ารู้จักเขา?”
คนผู้นั้นเดินตรงไปด้านหน้า ตอนเข้าใกล้อ้ายจื่อจินก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนเดินเฉียดไหล่นางผ่านไป คุกเข่าโขกศีรษะที่หน้าหลุมศพ ก่อนจะยืนขึ้นช้าๆ จ้องอ้ายจื่อจินแล้วถามอย่างเย็นชา “เขาอายุราวสามสิบ รูปหน้าค่อนข้างยาว มุมปากขวามีไฝดำเม็ดหนึ่งใช่หรือไม่”
อ้ายจื่อจินพยักหน้า รู้สึกว่าน้ำเสียงของบุรุษผู้นี้ช่างคุ้นหูเหลือเกิน นางชำเลืองมองอีกครู่ พลันรู้สึกว่าที่จริงกรามล่างของเขาก็ดูคุ้นตายิ่งนัก แต่อย่างไรนางก็ยังนึกไม่ออก คล้ายมีของชิ้นหนึ่งถูกนางทอดทิ้งไว้ที่มุมห้อง ยามต้องการขึ้นมา ไม่ว่าจะพยายามค้นหาอย่างไรก็ยังคงหาไม่พบ
ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง แม้ดวงตาสองข้างจะถูกกั้นไว้ด้วยงอบ กระนั้นก็ยังประดุจดาบอันคมกริบ
อ้ายจื่อจินรับรู้สายตานั้นได้เช่นกัน ทว่านางไม่รู้ว่าตนเองเคยไปล่วงเกินบุรุษผู้นี้ไว้ตั้งแต่เมื่อใด อาจเพราะสายตาหาญกล้าของตนเช่นนี้เสียมารยาทเกินไปกระมัง
ที่จริงนางหาใช่สตรีที่ชอบชายตาดูบุรุษแปลกหน้าเสียหน่อย อ้ายจื่อจินหน้าแดงอยู่บ้าง เบือนหน้าไปเล็กน้อย
ชายหนุ่มถามนางเสียงเย็น “ก่อนตายเขาพูดอะไรกับเจ้า”
ในใจพลันดิ่งวูบ ขณะที่ใบหน้าอ้ายจื่อจินยังคงเรียบเฉย นางเพียงหมุนตัวและแสร้งทอดตามองไปยังที่ไกลออกไป พลางเอ่ยเนิบช้า “ไม่พูดอะไรทั้งนั้น”
นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้ไม่มีทางเชื่อ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเดินเข้ามา กระทั่งประชิดกับแผ่นหลังของนาง ความเร็วนี้รวดเร็วเกินไปแล้ว ครั้นนางตั้งสติได้ก็รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนของเขาพ่นรดอยู่ที่หลังหูตนเอง นางรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว
“เขาไม่พูดอะไรเลยจริงหรือ”
นี่สมควรเป็นการหยอกเอินกระมัง กระนั้นอ้ายจื่อจินก็ยังรู้สึกคุ้นเคย ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกลนลานเสียได้ ปกตินางที่มักจะสุขุมเยือกเย็นมาแต่ไหนแต่ไร ทว่ายามนี้กลับมีใบหน้าขาวซีดอย่างเหนือความคาดหมายเสียได้
อ้ายจื่อจินถอยร่นไปตามสัญชาตญาณ แต่แล้วเอวก็ถูกอีกฝ่ายโอบเอาไว้ “เจ้าจะทำอะไร”
อ้ายจื่อจินอดรนทนไม่ไหวอีกแล้ว แขนของชายหนุ่มรัดนางแน่นหนาราวกับเปี่ยมด้วยโทสะนับหมื่นพัน นางถูกบังคับให้ต้องเข้าใกล้เขา ยามนี้จึงได้ยินเพียงเสียงหัวใจที่เต้นรัวเร็วดุจรัวกลอง นางทั้งอับอายและเดือดดาลกระทั่งเอ่ยคำใดไม่ออก
ในดวงตาเขาคล้ายกับมีเปลวไฟลุกโชนทะลุผ่านปีกงอบออกมาแผดเผาดวงตาของนาง อ้ายจื่อจินยกมือปิดป้องหน้าอกตนเองไว้โดยไม่รู้ตัว และใช้มืออีกข้างขวางกั้นระยะห่างที่ใกล้ขึ้นทุกขณะระหว่างนางกับเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง
เพลิงโทสะของเขาค่อยๆ มอดลงไปทีละน้อย ในที่สุดเพราะการจ้องเขม็งอย่างไม่ยอมอ่อนข้อของอ้ายจื่อจิน ทำให้ท่อนแขนที่โอบเอวนางอยู่พลันคลายออก ร่างนางก็หงายหลังตามไปด้วย อ้ายจื่อจินหวาดกลัวอยู่บ้าง ราวกับได้ยินเสียงท้ายทอยกระแทกพื้นดังสนั่น ทว่าพริบตาที่จะกระแทกกับพื้น มือซึ่งเมื่อครู่จะหักเอวนางก็ยื่นมาอีกครั้ง ทั้งยังประคองนางขึ้นมายืนด้วยท่าทางที่อ่อนโยนยิ่ง หลังจากนั้นบุรุษประหลาดผู้นี้ก็ไม่พูดไม่จา เพียงหมุนตัวเดินลงจากเขาไป